วิเคราะห์ ‘Food Fair คนดัง’ เวิร์กแค่ไหน? กระแสถึงแรงมากขึ้น

จาก Food Fair ปกติที่จัดกันทั่วไปตามศูนย์การค้า เพื่อเป็นอีกกิจกรรมทางการตลาดในดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการและเกิดการจับจ่าย ปัจจุบันเราได้เห็นบรรดา ‘คนดัง’ หันมาจับธุรกิจนี้กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นักปั้นมือทอง ‘เอ-ศุภชัย’ กับ ‘A fair’ , ‘หม่ำ จ๊กมก’ กับ ‘หม่ำกับหม่ำแฟร์’, ‘เท่ง เถิดเทิง’ กับ ‘ตลาดเท่ง เถิดเทิง’, ‘พิงกี้ สาวิกา’ กับ ‘Pinky Wonderland’

 

ยังไม่รวมเหล่ารายการดังหลายต่อรายงานที่ได้เข้ามาบุกธุรกิจ Food Fair ก่อนหน้านี้ ทั้ง ‘ครัวคุณต๋อย’ ของ ‘ไตรภพ ลิมปพัทธ์, ‘เชิญยิ้มเชิญอร่อย’ ของ ‘เป็ด เชิญยิ้ม’,  ‘ผู้หญิงทำมาหากิน ออนทัวร์’, Heliconia Food Festival เทศกาลอาหารที่รวบรวมร้านของเซเลบริตี้เชฟกว่า 80 คน จากรายการเชฟกระทะเหล็ก มาสเตอร์เชฟ ท็อปเชฟ ฯลฯ

 

ความน่าสนใจของธุรกิจ Food Fair คืออะไร เหล่าคนดังถึงให้ความสนใจ?

 

‘ขวัญแก้ว สิริจินดา’ Head of Asset Commercialization – Account Management บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เล่าให้ Positioning ฟังว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวผู้บริโภคมีแนวโน้มจะพิจารณาการใช้จ่ายมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับ ‘ความคุ้มค่า’ (Value for Money) เป็นหลัก ซึ่งเทรนด์นี้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในกิจกรรม Food Fair ที่จัดขึ้นภายในศูนย์การค้า

 

นอกจากนี้ Food Fair ยังได้เปรียบกับกิจกรรมการตลาดรูปแบบอื่นในด้าน ‘การสร้างประสบการณ์ร่วม’ ที่สามารถเชื่อมโยงแบรนด์กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหาของงานสามารถตอบสนองความชอบเฉพาะทางของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ดังนั้น Food Fair จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมที่สร้างทราฟฟิก แต่ช่วยสร้าง ‘การสื่อสาร’ และ ‘จับจ่าย’ ได้ในเวลาเดียวกัน

 

สำหรับเซ็นทรัลพัฒนาเองมีแนวทางพัฒนา Food fair เพื่อเป็นอีกแม็กเนตดึงคนเข้าศูนย์ต่อไปเนื่องจากเรามองว่า Food Fair ไม่ใช่เพียงกิจกรรมส่งเสริมการขายเท่านั้น แต่คือพื้นที่ที่สามารถสร้างประสบการณ์และสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างศูนย์การค้า แบรนด์ และผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี จึงมีแนวทางในการพัฒนา Food Fair ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการงานที่มีเอกลักษณ์ มีธีมชัดเจน และมีไฮไลต์ที่น่าสนใจ

 

อาทิ Japan Signature เทศกาลอาหารญี่ปุ่นที่จัดต่อเนื่องมาแล้วกว่า 7 ปี, Sweet Social Club เทศกาลขนมหวานที่รวมร้านดังจากโซเชียลมีเดียไว้ในที่เดียว เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ Gen Z ที่ติดตามเทรนด์ออนไลน์ เป็นต้น

 

“ยิ่งเป็น Food Fair ที่มีธีมเฉพาะหรือเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น เทศกาลอาหารญี่ปุ่น เทศกาลชากาแฟ จะได้รับการตอบรับดีมาก ทั้งจำนวนผู้เข้าร่วมงาน และยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลที่สูงกว่างานอาหารทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ”

 

ชื่อเสียง+ฐานแฟน คือความได้เปรียบ

 

หากลองมาวิเคราะห์ถึงความได้เปรียบของ Food Fair ที่จัดโดย ‘คนดัง’, ‘อินฟลูเอนเซอร์’ หรือ ‘สื่อที่มีฐาน          ผู้ติดตามจำนวนมาก’ กับ Food Fair ปกติจะเห็นได้ว่า Food Fair คนดังมีความได้เปรียบหลายเรื่อง

 

1.การที่ผู้จัดมีความแข็งแกร่งด้าน Branding จะช่วยเสริม ‘ความน่าเชื่อถือ’ ให้กับตัวงาน และกระตุ้นความสนใจของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านค้าได้มากยิ่งขึ้น

2.สามารถสื่อสารและสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว

3.ในมุมของร้านค้าที่เข้าร่วมออกบูธ การได้เป็นส่วนหนึ่งของงานที่มีชื่อเสียงหรือมีผู้จัดที่มีอิทธิพล ก็เปรียบเสมือนการได้ ‘ผ่านการคัดเลือก’ ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวก และเพิ่มโอกาสในการขายได้ดีกว่า Food Fair ทั่วไป

4.การมีผู้จัดที่มีฐานแฟนคลับชัดเจน ยังช่วยสร้าง Traffic Magnet ให้กับศูนย์การค้าและงานได้อย่างดี จากการเชิญเพื่อนคนดังมาเป็นแขกรับเชิญ หรือมาออกบูธจำหน่ายสินค้า (ร้านดารา) หรือกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ทำให้มีความน่าสนใจและแตกต่างจาก Food Fair ทั่วไปได้อย่างดี

ด้าน ‘เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร’ นักปั้น(ดารา)มือทอง หนึ่งในคนดังที่ผันตัวเข้ามาในธุรกิจนี้ ในชื่อ ‘A fair อร่อยเกรดเอ by A Supachai’ เล่าถึงการก้าวสู่ธุรกิจ Food Fair ว่า หลังจากเข้ามาในวงการอาหาร จาก ‘ครัวบ้านเอ’ ที่เริ่มปูทางด้วยเมนูไข่พะโล้ ขยายสู่เมนูอื่นมากมาย ทำให้เห็นถึงโอกาสของธุรกิจนี้ จึงอยากจัด Food Fair ของตัวเอง  ขึ้นมา

 

ส่วนหนึ่งต้องการช่วยเหลือคนในวงการบันเทิง เนื่องจากตอนนี้วงการบันเทิงซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจ อีกส่วนเป็นการสนับสนุน SMEs ให้ผู้ซื้อกับผู้ขายในกรุงเทพฯ ได้เจอกับร้านดังในต่างจังหวัด

 

สำหรับจุดแข็งของ A fair ที่จะใช้เป็นจุดแข่งขัน เป็นเรื่องการผสานพลังกันของ ‘ร้านค้าแบบออฟไลน์ + ออนไลน์ +คอนเนกชั่นในแวดวงต่าง ๆ ที่ตัวเขามี’ เพื่อสร้างให้ธุรกิจนี้เป็น ‘น่านน้ำใหม่’ ที่แตกต่างและครบวงจรไม่เหมือนกับ Food Fair อื่น ๆ โดยร้านค้าที่เลือกมา 1. คุณภาพ 2.เป็นร้านในกระแสที่ต้องอร่อยจริง หรือหากินยากในกรุงเทพฯ เช่น ข้าวซอยนิมมานต์ ที่หากคนอยากรับประทานต้องไปที่เชียงใหม่ เป็นต้น และ 3.ราคาต้องมีความหลากหลาย

 

“การขายของ จะมีแค่ของขายไม่พอ ต้องมีวิธีการตลาดและทำแค่ออฟไลน์ไม่ได้ ต้องมีออนไลน์ เราจะต้องของดีมีคุณภาพ มาใส่ออนไลน์ มาใส่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยชื่นชอบเข้าไปมาสร้างความแตกต่าง”

 

ส่วน Food Fair คนดังจะอยู่ได้ยาวนานหรือไม่ และจะสู้กับคู่แข่งรายอื่นได้หรือไม่ ต้องกลับมาดูที่คนทำว่า ทุกอย่างอยู่ที่คนทำตั้งใจแค่ไหน คัดเลือกร้านที่อร่อยและมีคุณภาพจริงหรือไม่ สุดท้าย คือ การสร้างคาแรกเตอร์ของงานให้มีจุดเด่นและแตกต่างจคนอื่น ซึ่งแต่ละคนก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง