ดูไบ ไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นหนึ่งในรัฐของ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE และถือเป็นศูนย์ กลางทางธุรกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ มีท่าเรือและสนามบินที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อการค้าและการขนส่งสินค้าที่สะดวก
ดูไบ ไม่ได้รวยจาก น้ำมัน อย่างที่หลายคนคิด แต่น้ำมันสร้างรายได้ให้กับดูไบเพียง 5% เท่านั้น จากรายได้ทั้งหมด รายได้หลักของดูไบมาจากธุรกิจและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนอีก 20% เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ
ดูไบ ไม่มีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีรายได้จากธุรกิจส่วนใหญ่ก็เก็บใน อัตราที่ต่ำ โดยถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้รวมผลกำไรไม่เกิน 3.3 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าเกินก็เสียภาษีเพียง 9% เท่านั้น ส่วน VAT ที่ดูไบอยู่ที่ 5%
นอกจากนี้ ดูไบยังมีการจัดตั้ง Free Zone หลายแห่งที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองธุรกิจได้ 100% โดยไม่มีข้อจำกัด และสามารถโอนเงินทุนและกำไรกลับประเทศได้โดยไม่มีการควบคุม และมีการออก Golden Visa เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มีศักยภาพสูง ผู้ประกอบการ และผู้มีความสามารถพิเศษให้เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ดูไบจะดึงดูดทั้งแรงงาน และนักลงทุนและคนรวยที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน
ที่สำคัญคือ ดูไบแทบไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศใด รวมถึงอัตราการเก็บภาษีที่ต่ำ ทำให้ดูไบเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐีที่มั่งคั่งจากธุรกิจสีเทา รวมถึงเป็นปลายทางจากเหล่าผู้ต้องหาจากประเทศอื่น ๆ ทำให้ปัจจุบันดูไบเป็นเมืองที่ต้องต่อสู้กับการฟอกเงินอย่างมหาศาล และทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็พยายามจะแก้ไขอยู่
นอกจากนี้ เป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก และมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งยังมีการลงทุนอย่างมหาศาลในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การคมนาคม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด อีกทั้งยังมีบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง
ในส่วนของการท่องเที่ยวก็น่าสนใจ เพราะมีตึกที่สูงที่สุดในโลก คือ เบิร์จคาลิฟา มีโรงแรมหรู และมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่น The Dubai Mall ที่มีร้านค้ากว่า 1,200 ร้าน ร้านอาหาร โรงแรม และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือ Mall of the Emirates ที่เป็นห้างที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน มีร้านค้ามากมาย และยังเป็นที่ตั้งของลานสกีในร่ม



