วิเคราะห์ กลุ่มคาราบาว ดึง เบียร์ชิงเต่า จากจีน ตีตลาดไทย กำลังสะท้อนอะไร?

“เบียร์ชิงเต่า” แบรนด์เบียร์ชื่อดังสัญชาติจีน ที่มีสินค้ากระจายใน 100 ประเทศทั่วโลก ประกาศร่วมมือกับ ‘กลุ่ม  คาราบาว’ บุกตลาดเบียร์ประเทศไทยเต็มตัว กำลังส่งสัญญาณบอกอะไรเรา?

เหตุผลที่คาราบาวเลือกจับมือกับชิงเต่า

1.เสริมพอร์ตเบียร์ให้ครบทุกเซ็กเมนต์

คาราบาวมี 2 แบรนด์เบียร์ในมือ วางทาร์เก็ตแตกต่างกัน คือ

เบียร์คาราบาว

  • เจาะกลุ่ม อีโคโนมี และ สแตนดาร์ด
  • คู่แข่งตรง อาทิ เบียร์ช้าง เบียร์ลีโอ

เบียร์ตะวันแดง

  • สแตนดาร์ด และ พรีเมียม
  • คู่แข่งตรง อาทิ เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง Cold Brew

การร่วมมือดึง “เบียร์ชิงเต่า” เข้ามาขายในไทย จะช่วยเสริมพอร์ตฯ พรีเมียม จากสินค้าเรือธง คือ Tsingtao Premium Lager และพอร์ตฯ ซูเปอร์พรีเมียม (*หากมีการนำเข้าในอนาคต) เช่น Tsingtao 1903, Tsingtao Pure Draft และ Aogute เป็นต้น

ดังนั้น พอมีทั้งเบียร์จากคาราบาวและชิงเต่า คาราบาวก็สามารถ “cover” ตลาดได้กว้างขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนสร้างแบรนด์พรีเมียมใหม่เอง โดยเฉพาะในการแข่งขันที่คาราบาวยังเป็นรองในแง่มาร์เก็ตแชร์จากเบียร์สิงห์ และเบียร์ช้าง

2.จับตลาดนักท่องเที่ยวจีนในไทย

คาราบาว รู้ว่าทุกปีมีนักท่องเที่ยวจีนหลักล้านคน แสดงว่า demand ของเบียร์ชิงเต่าในไทยมีอยู่แล้ว ถ้ามีสินค้านี้ในพอร์ตฯ ก็เสิร์ฟกลุ่มลูกค้าได้ตรงกว่า

3.โอกาสส่งสินค้าไทยขยายตลาดจีน

แม้ปกติคาราบาวจะมีพอร์ตฯ ส่งออกไปต่างประเทศอยู่แล้ว รวมถึงจีนด้วย

แต่การเป็น distributor ของ Tsingtao อาจช่วยให้คาราบาวขยายตลาดไปจีนได้ง่ายขึ้น ทั้งฝั่งเครื่องดื่มชูกำลังและเบียร์

อย่างไรก็ตาม การนำ “เบียร์ชิงเต่า” ตีตลาดไทยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีคู่แข่งในตลาดที่ครองมาร์เก็ตแชร์อย่างเหนียวแน่นอย่าง ไทยเบฟ (เบียร์ช้าง) และบุญรอดฯ (เบียร์สิงห์-ลีโอ) รวมถึงอาจต้องใช้ต้นทุนการตลาดสูงในการสร้างการรับรู้ในกลุ่มคนไทย

คาราบาว จับมือ ชิงเต่า

มุมเบียร์ชิงเต่า ไทยจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

เบียร์ ชิงเต่า (Tsingtao) ที่เป็นเบียร์พรีเมียมจากจีน การที่เขาตั้งใจเข้ามา “ตีตลาดไทย” มีหลายปัจจัย มองได้ทั้งจากมุม พฤติกรรมผู้บริโภค และ โครงสร้างตลาดเบียร์ไทย

1.ไทยตลาดเบียร์ใหญ่เบอร์ต้น ๆ ของอาเซียน

มูลค่าตลาดเบียร์ไทยประมาณ 2.6 แสนล้านบาทต่อปี การบริโภคเบียร์ไทยแม้จะชะลอตัวบ้างตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ยังถือว่า “ใหญ่และมั่นคง” เมื่อเทียบกับในประเทศเพื่อนบ้าน

2.คนไทยเปิดรับเบียร์ต่างชาติ

เทรนด์ craft beer, premium beer โตขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยนักดื่มไทยชอบลอง “แบรนด์นำเข้า” เพื่อความแตกต่าง ไม่ยึดติดกับเบียร์เจ้าตลาดเสมอไป

ขณะที่ “เบียร์ชิงเต่า” จากจีนถูกวางเป็นเบียร์พรีเมียม ภาพลักษณ์นี้เข้ากับเทรนด์ตลาดไทยตอนนี้มาก

นอกจากนี้ ยังจับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวไทยปีละหลายล้านคนได้ด้วย การวางขายชิงเต่าในไทย ซึ่งเป็นแบรนด์คุ้นเคยของคนจีน จึงเหมือน “เสิร์ฟ comfort zone”

3.ใช้ไทยจุดยุทธศาสตร์กระจายสินค้าในภูมิภาคได้

ไทยมีระบบกระจายสินค้าที่แข็งแรง ถ้าชิงเต่าติดตลาดไทยได้ ก็สามารถต่อยอดไปยัง CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้ง่าย ซึ่งภูมิภาคนี้ มีความน่าสนใจในแง่การเติบโตของเศรษฐกิจที่เร็ว และจำนวนประชากรหนุ่มสาวที่มีจำนวนมาก

ขณะที่ เบียร์ชิงเต่า แม้จะมีการส่งออกหลัก 100 ประเทศ แต่สัดส่วนรายได้ของบริษัทกว่า 90% ยังคงอยู่ในตลาดจีน

เบียร์ชิงเต่า
เบียร์ชิงเต่า

4.โอกาสเจาะกลุ่ม Young Premium

ตลาดเบียร์ กลุ่ม mainstream (ลีโอ, ช้าง, สิงห์) แข็งแรงมาก และกลุ่มลูกค้ามี Loyalty สูง

แต่เซ็กเมนต์เบียร์พรีเมียม/นำเข้า ซึ่งมีลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ขนาดตลาดยังไม่ใหญ่และมีช่องว่าง ชิงเต่าใช้ตรงนี้เจาะ

5.อาศัยช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแรง

ชิงเต่า จับมือ คาราบาว เพราะข้อได้เปรียบด้านมีเครือข่าย distribution ทั่วประเทศจากธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง

การที่ Tsingtao เข้ามาตีตลาดไทย ถ้าใช้ช่องทางเดิมของคาราบาวกระจายสินค้าได้ทันที ต้นทุนต่ำกว่าแบรนด์ต่างชาติที่ต้องสร้างระบบใหม่เองทั้งหมด

ความท้าทายที่ชิงเต่าต้องเจอ

  • การผูกขาดตลาดเบียร์ไทย เพราะในไทยมีผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองมาร์เก็ตแชร์สูง ๆ แค่ 2 เจ้าใหญ่
  • แบรนด์สตอรีในไทยยังไม่ชัด คนไทยยังไม่รู้จักชิงเต่าเท่า Heineken หรือ Asahi อาจต้องลงทุนการตลาดหนักหน่อย

อย่างไรก็ตาม เบียร์ชิงเต่า จะประสบความสำเร็จในตลาดไทยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์แบรนด์’ ว่าจะทำให้ชิงเต่ากลายเป็น “เบียร์ที่คนไทยอยากหยิบ” ไม่ใช่แค่เบียร์ที่คนจีนอยากหาเจอเวลามาเที่ยวไทยเท่านั้น…