เพราะสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องไม่ใช่แค่ เครื่องมือสื่อสาร แต่คือ โรงงานสร้างโอกาสในมือทุกคน โดย Positioning จะมาสรุปแนวคิดของ 3 ครีเอเตอร์ดังจากช่อง ลุงอ้วน กินกะเที่ยว, หลิวหลิวฟาร์ม และ พ่อมดติ๊กต๊อก ที่ชีวิตเปลี่ยนได้ด้วย มือถือเครื่องเดียว จากเวทีสัมมนา ภารกิจคิดเผื่อ “Real Case มือถือเปลี่ยนชีวิต ซึ่งสอดรับกับพันธกิจของ ‘AIS Academy’ ในการนำความรู้และเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวทันโลก ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แข็งแรง มั่นคง และยั่งยืนอย่างแท้จริง
แพชชั่นได้ เดี๋ยววิธีมาเอง
อ้วน อนุสร ตันเจริญ YouTuber เจ้าของช่อง ลุงอ้วน กินกะเที่ยว เล่าว่า จริง ๆ ก่อนมาเป็นยูทูบเบอร์ ตนเคยทำบล็อกเกอร์โพสต์คอนเทนต์เกี่ยวกับอาหารบนแพลตฟอร์ม พันทิป เกือบ 30 ปีที่แล้ว พอมี Facebook ก็เปลี่ยนมาทำคอนเทนต์บน Facebook จนปัจจุบันมีผู้ติดตามเกือบ 1.2 ล้านราย จากนั้นก็เข้ามาเป็น YouTuber ในช่วงที่สื่อออฟไลน์ลดความนิยมลง
“สมัยพันทิป มันค่อนข้างยากมาก เพราะอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่เร็ว สมาร์ทโฟนก็ไม่มี อัพรูปแต่ละทียากมาก แต่คือ เราทำในสิ่งที่เราชอบ คอนเทนต์ผมไม่เคยมีสคริปต์ ผมเขียน ผมเล่าด้วยความชอบส่วนตัว ด้วยความที่เคยกิน แล้วร้านอาหารที่ผมไปกินหรือไปทำเนี่ย มันไม่ใช่เป็นการไปครั้งแรก คือต้องกินจนประจำประจำจนรู้อยู่แล้ว”
ลุงอ้วน เล่าต่อว่า ในตอนที่เปลี่ยนมาทำคอนเทนต์ลง YouTube ตนเองก็ทำอะไร ไม่เป็นเลย แต่ก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ โดยลุงอ้วนมองว่า แพชชั่นได้ เดี๋ยววิธีมาเอง ยิ่งสมัยนี้เทคโนโลยีสมัยนี้มันง่ายกว่าเมื่อก่อน ตนมี มือถือเครื่องเดียว ก็ทำคอนเทนต์ได้ สะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่หยุดเรียนรู้
“ตอนแรกผมก็ไม่เป็น ก็ถ่ายด้วยมือถือนี่แหละ ตอนนั้นลงเสียงก็ไม่เป็น เรื่องลิขสิทธิ์อะไรก็ไม่รู้ แต่ผมว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันง่าย มีแอปพลิเคชั่นช่วยเราหมด บางครั้งผมก็ไปถ่ายคนเดียว ใช้มือถือเครื่องเดียว และเดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ ผมจะไปเรียน AI ดังนั้น ผมว่าอายุไม่ใช่อุปสรรค”
Real และ ซื่อสัตย์กับคนดู
ลุงอ้วน ย้ำว่า หลักคิดที่เขายึดถือมาตลอดคือ ความ Real และ ซื่อสัตย์กับคนดู โดยคอนเทนต์ของลุงอ้วน ไม่มีสคริป นอกจากนี้ ลุงอ้วนมองว่า ที่ลุงอ้วนทำเพราะ แพชชั่น เป็นเหมือน งานอดิเรก ไม่ได้มุ่งหวังเรื่องรายได้เป็นหลัก เพราะมองว่า ไม่ได้มีต้นทุน แต่แค่ทำให้ดีที่สุด แล้ว รายได้จะตามมาเอง
“คือถ้าเริ่มต้น เราต้องทำด้วแพชชั่น รายได้ไม่ต้องไปคิดนะ ถ้าจะทำให้มันมีรายได้ต้องใช้ระยะเวลา บางคนอยากทำเพื่อให้มีรายได้เร็ว ๆ แต่มันไม่ยั่งยืน ก็จะหายไป คุณอยากจะเล่นเกมไหน เกมของความฉาบฉวยหรือเกมของความยั่งยืน”
ก้าวข้ามความอาย กล้าลงมือ
ปัญหาของหลายคนที่ยังไม่กล้าเข้ามาเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์คือ อาย ซึ่ง หลิว ลลิตา สถิตธรรมพนา เจ้าของช่อง TikTok หลิวหลิวฟาร์ม ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดย หลิว เล่าให้ฟังว่า ตนเป็นชาวเชียงใหม่ อาศัยอยู่บนดอย โดยที่บ้านมีสวนอะโวคาโด
จุดเริ่มต้นที่หันมาเป็นครีเอเตอร์เพราะ ตกงานในช่วงโควิด โดยในช่วงแรกเป็นการ โพสต์รูปอะโวคาโด ที่สวนของตัวเองลงในกลุ่มที่จะขาย ด้วยความที่ตนขี้อาย ทำให้ ปีแรกไม่เคยเปิดหน้าเลย
“จริง ๆ เป็นคนที่ไม่กล้าออกกล้อง ไม่มั่นใจในตัวเองเลย และเราไม่ค่อยกล้าพูดด้วย ทำให้ช่วง 1 ปีแรกที่เราทำ ไม่มีใครเห็นหน้าหลิวเลย ส่วนใหญ่จะเห็นแต่สินค้า”
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมาจากเมื่อยอดขายใน Facebook เริ่มตัน ทำให้ หลิว มองว่า ต้อง ลองอะไรใหม่ ๆ ประกอบกับตอนนั้นหลิวกำลังเล่น TikTok เลยมองว่า ถึงเวลาแล้วที่จะออกหน้า โดยวิดีโอแรกที่ลงคือ วิดีโอ ทานอะโวคาโด จากนั้นก็เริ่ม ไลฟ์สดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตบนดอย ซึ่งช่วงแรกไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรเลย มีแค่ มือถือเครื่องเดียว
“ตอนนั้นเราก็ทำไม่เป็นนะ ไม่รู้ว่าลงได้คลิปละ 30 วิฯ กลายเป็นว่า จากลงคลิปเดียว กลายเป็นลง 3 คลิป จากนั้นก็แมสเลย ยอดวิวเป็นล้านวิว ซึ่งตอนนั้นเราใช้มือถือวางพิงกับเก้าอี้แล้วถ่าย ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย”
หลิว เล่าว่า ที่ช่วงแรกในการไลฟ์ก็ ไม่ได้ขายของ แต่เป็นการ ไลฟ์พูดคุยกัน เน้นสร้างฐานลูกค้า เช่น อะโวคาโดควรกินกับอะไรดี กินกับอะไรยังไงอร่อยสุด อาจจะมีวางสินค้าบ้าง มีการบอกโปรโมชั่นบ้าง ตอนนั้นหรือว่าจะไลฟ์แบบวางสินค้าเราด้วย แต่ว่าบอกโปรโมชั่นแวบแวบก็พอ หลัก ๆ ก็คือเน้นพูดคุย
“ในช่วงแรกที่เราเริ่มทำคนดูเยอะ แต่เรายังไม่มีรายได้ก็ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งไปกดดันตัวเอง ให้เราทำไปก่อนเรื่อย ๆ อย่างบางคนจะเป็นครีเอเตอร์ หวังจะให้ได้รีวิวเลยตอนนั้นมันก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นทำไปเรื่อย ๆ สักวันมันก็จะมีรายได้เข้ามาหาเอง”
ทำอย่างสม่ำเสมอ และเปิดรับทุกโอกาส
หลิว ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทำให้หลิวประสบความสำเร็จมองว่าเป็นเรื่องของ ความขยัน และไม่หยุดที่จะ มองหาโอกาส ถ้าตรงไหนเป็นโอกาส ก็พร้อมจะไปอยู่ตรงนั้นเสมอ จนปัจจุบัน หลิวสามารถขายอะโวคาโดได้ถึง 15-20 ตัน/เดือน ด้วยมือถือเครื่องเดียว
“หลิวเป็นเด็กที่อยู่บนดอย เราห่างไกลจากความเจริญห่างไกลจากหลาย ๆ โอกาสมาก แต่เราไม่เคยท้อ ที่ไหนที่เรามองเห็นว่ามันจะมีโอกาสอยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นแสงหรือไม่เห็นแสง แต่ขอแค่รู้ว่ามันมีโอกาส เราจะเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นเสมอ”
จากพนักงานออฟฟิศสู่ Content Creator
มด-ศิลา พีรวัฑฒึก ครีเอเตอร์เจ้าของช่อง พ่อมดติ๊กต๊อก โดย มด เป็นอีกคนที่แสดงให้เห็นว่า ครีเอเตอร์ไม่เกี่ยวกับอายุ โดยเขาเริ่มทำ TikTok ในวัย 40 ปี โดยใช้แค่ มือถือเครื่องเดียว ในการทำคอนเทนต์ จนปัจจุบันมีรายได้ 3 ล้านบาท/เดือน มีผู้ติดตามกว่า 2.4 ล้านราย
“ตอนแรกที่แฟนชวนผมทำ TikTok ผมบอก ผมเต้นไม่เป็นนะ แต่จริง ๆ แล้วผมเข้าใจผิด คิดว่า TikTok คือแพลตฟอร์มสำหรับเต้น ร้องเพลง หรือลิปซิงค์ แต่แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า TikTok คือ โอกาสใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกการค้าขาย”
มด ย้ำว่า อุปกรณ์ไม่สำคัญเท่า ใจและไอเดีย โดยในช่วงแรก เขาเริ่มต้นด้วยอุปกรณ์ราคาไม่แพง คือ มือถือ 1 เครื่อง ขาตั้งกล้อง และไฟ ในช่วงแรกรับถ่ายงานคลิปละ 1-2 พันบาท แต่ไม่เคยท้อถอย จนผ่านไป 2 ปีที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนปัจจุบันค่าตัวอยู่ที่ 6 หลัก/คลิป
“บริษัทไม่เคยใช้กล้องดิจิทัลถ่าย และไม่เคยตัดต่อผ่านคอมพิวเตอร์ ใช้แค่มือถือและตัดต่อในแอป CapCut 100% ดังนั้น อุปกรณ์ไม่สำคัญเท่ากับใจและไอเดีย”
6 ทักษะสำคัญของ Content Creator
หากอยากเป็น Content Creator ที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีทักษะเหล่านี้
- ทักษะการสื่อสาร Content คือการสื่อสาร จำไว้ว่า:
- พูดเรื่องยาวให้สั้น
- พูดเรื่องสั้นให้เข้าใจ
- พูดเรื่องเข้าใจให้สนุก
- พูดเรื่องสนุกให้ใช้งานได้จริงและน่าติดตาม
- มองเห็นสิ่งรอบตัวเป็นคอนเทนต์ ประสบการณ์คือคอนเทนต์ เคล็ดลับคือดูคอนเทนต์เยอะ ๆ แล้วจับประเด็นให้ได้
- สร้างชิ้นงานได้ ถ่ายวิดีโอเป็นไหม ตัดต่อเป็นไหม พากย์เสียงเป็นไหม นี่คือพื้นฐานที่ต้องมี
- เข้าใจการตลาดและตลาดใหม่ ตลาดเปลี่ยนแล้ว จากโรงงาน-ค้าส่ง-ค้าปลีก-ผู้บริโภค กลายเป็นคลิปปักตะกร้า ซื้อของผ่านไลฟ์สด ซื้อผ่าน TikTok Shop คนเดี๋ยวนี้เดินห้างเพื่อเช็คราคา แล้วกลับมากดสั่งออนไลน์
- สร้างตัวตน (Personal Branding) สร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตัวเอง
- เข้าใจแพลตฟอร์ม ต้องเข้าใจกฎระเบียบแพลตฟอร์ม และปรับเปลี่ยนตามเสมอ เพราะ TikTok มีกฎชุมชนที่เข้มงวด
“คนวัยเกิน 40+ มักชอบทำตัวเป็นพระอาทิตย์ให้ทุกคนมาโคจรรอบเรา แต่ไม่ได้แล้ว เราต้องทำตัวเป็นพระจันทร์ที่โคจรรอบดาวเคราะห์ ถ้าเราไม่เปลี่ยน เราอยู่ไม่ได้ การเริ่มต้นเมื่ออายุ 40 ไม่ใช่เรื่องสายเกินไป ไม่มีแก่ไป ไม่มีเด็กไป ที่สำคัญคือความมุ่งมั่นและการเรียนรู้ เพราะในขณะที่คนบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี ร้านค้าออฟไลน์ไม่มีคนเดิน แต่กลับมีคนตั้งกล้องไลฟ์สดทำรายได้ครั้งละหลักล้าน นี่แหละคือความจริงของยุคดิจิทัล” มด-ศิลา ทิ้งท้าย








