ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ ชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ กลุ่มมีเงินสดในมือยังพอไปได้ ส่วนใหญ่เป็นเรียลดีมานด์
“แม้ตอนนี้ยังมีคนหาซื้อบ้าน แต่ตลาดก็ช็อตเยอะขึ้น จากการประเมินว่าเศรษฐกิจปีหน้าอาจไม่ดี คนชะลอซื้อ นิยมถือเงินสดมากขึ้น”
อวสาน Overpriced ซัพพลายล้น ทำผู้ซื้อจัดสินใจนาน ราคาต่ำกว่าตลาด 20% ขายดี
ประกอบกับ สถานการณ์โอเวอร์ซัพพลาย ของที่อยู่อาศัยบางทำเล ทำให้ใช้เวลาคนตัดสินใจนานขึ้น เพราะมีสินค้าเปรียบเทียบจำนวนมาก ถ้าไม่รีบก็ยังไม่ซื้อจนกว่าจะเจอดีลดี หาก Overpriced ราคาสูงเกินไปก็จะทำยอดขายได้ช้าลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ยังไปได้ดี คือ อสังหาที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดราว 20% เปรียบเทียบง่าย ๆ หากกลุ่ม Mid Market มีราคาเฉลี่ย 120,000 บาท/ตร.ม. ถ้ามีคนขายราคา 90,000-100,000 บาท/ตร.ม. คนก็แห่ไปซื้อ ถือเป็นช่วงที่ดีของตลาดผู้ซื้อ

เปิดตัว “มาวิสต้า พร้อมพงษ์” คอนโดอัลตร้าลักซูรี
ล่าสุด เมเจอร์ฯ เปิดตัวโครงการใหม่ “มาวิสต้า พร้อมพงษ์” ทำเลซอยสุขุมวิท 39 มูลค่า 4,000 ล้านบาท เป็นคอนโดที่มีห้องพักรูปแบบ Penthouse ทุกยูนิต จำนวน 45 ยูนิต สูง 32 ชั้น ขนาดห้องเริ่มต้น 204-517 ตร.ม. จำนวน 3-5 ห้องนอน มีราคาตั้งแต่ 70 – 200 ล้านบาท
ปัจจุบันเปิดขายรอบ VVIP มียอดขายเกือบ 50% ประมาณ 2,000 ล้านบาท
“ห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดพื้นที่ 517 ตร.ม. ราคากว่า 200 ล้านบาท Sold Out เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มก่อสร้างปี 2569 และแล้วเสร็จปี 2572 เราคาดหวังก่อนสร้างเสร็จจะทำยอดขายได้ราว 85-90%”

ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยของ มาวิสต้า พร้อมพงษ์ อยู่ที่ 400,000 บาท/ตร.ม. ไม่ได้สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการเปิดตัวคอนโดระดับเดียวกันที่มีราคาเปิด 800,000 – 1,000,000 บาท/ตร.ม. เนื่องจาก มองว่าหากตั้งราคา Overpriced อาจทำยอดขายได้ช้าลง
“เราเปิดตัวโครงการที่พร้อมพงษ์ เนื่องจาก ซัพพลายอัลตร้าลักซูรีแทบไม่มีแล้ว ถ้ามีจะเป็นโครงการเก่า ประกอบกับเราเคยทำโครงการย่านนี้ราวปี 2556 พบว่า มีดีมานด์ห้องใหญ่สูง จึงเป็นที่มาการเปิดตัวมาวิสต้าครั้งนี้”
เน้นทำตลาดโครงการเดิม ชี้ 2-3 ปีนี้ชะลอตัวโครงการใหม่
สำหรับเมเจอร์ฯ ปัจจุบันมีแบ็คล็อกในมือ 10,000 ล้านบาท ทยอยโอนกรรมสิทธิ์ปี 2568 จากโครงการย่านลาดพร้าว และอีกทีจะเป็นปี 2570 จากโครงการมารุจุฬา และปี 2572 กับโครงการมาวิสต้า พร้อมพงษ์
“ประเมินว่าปิดปี 2568 จะมีรายได้อยู่ที่ราว 3,000 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตาม แผนหารดำเนินงานถัดจากนี้ คงชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป 2-3 ปี เพื่อเน้นทำตลาดโครงการเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน



