จากผลการศึกษาล่าสุดโดยบริษัทที่ปรึกษา Bain & Co คาดการณ์ว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยส่วนบุคคลทั่วโลกจะหดตัวลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน เนื่องจากผู้บริโภคที่มีฐานะดีเริ่มต่อต้านการขึ้นราคาที่สูงเกินจริงสำหรับแบรนด์เนมที่สินค้าดูธรรมดา
Bain & Co คาดว่า ยอดขายสินค้าลักชูรี่ปีนี้จะ ลดลง -2% สู่ระดับ 3.58 แสนล้านยูโร (ประมาณ 412 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จาก 3.64 แสนล้านยูโรในปี 2024 ซึ่งนับเป็นการ ชะลอตัวสองปีซ้อน นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008-2009
โดยสถานการณ์ตลาดในปีนี้ คาดว่าจะมีเพียง ตะวันออกกลาง ที่เติบโตราว 4-6% คิดเป็นมูลค่าราว 2.3 หมื่นล้านยูโร ขณะที่ตลาดสำคัญอื่น ๆ หดตัวทั้งหมด อาทิ
- สหรัฐอเมริกา: คาดว่าจะทรงตัวที่ประมาณ 1.01 แสนล้านยูโร
- ยุโรป: ตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน และคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยสู่ 1.08 แสนล้านยูโร
- จีนและญี่ปุ่น: คาดว่าจะชะลอตัวลงมากถึง 8% สู่ 4.2 หมื่นล้านยูโร และ 3.1 หมื่นล้านยูโร ตามลำดับ
Claudia D’Arpizio หุ้นส่วนของ Bain และผู้ร่วมเขียนงานวิจัย ระบุว่า หมวดหมู่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รองเท้า และกระเป๋าถือ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการ ขึ้นราคาสูงที่สุด และการขึ้นราคาของแบรนด์เนม บวกกับวิกฤตด้านความคิดสร้างสรรค์ของสินค้า ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่าง ๆ สูญเสียลูกค้าไป 60-70 ล้านราย หรือคิดเป็นประมาณ 18% ของฐานลูกค้าที่ลดลง เหลือ 330 ล้านคน
เนื่องจากผู้บริโภคกำลัง ลดระดับไปหาแบรนด์ที่เข้าถึงได้ ซึ่งไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะพวกเขา ให้ความสำคัญกับคุณค่ามากขึ้น โดยที่ไม่ได้มองแค่เพียงชื่อแบรนด์
นอกจากนี้ ภาวะขั้วสุดขีดในตลาด หรือการที่กลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงมาก (Ultra-high-net-worth individuals) ที่ยังคงมีความสามารถในการซื้อสูงที่สุด กำลังทำให้ลูกค้าส่วนที่เหลือรู้สึก แปลกแยก เพราะแบรนด์มุ่งเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มนี้มากเกินไป จนทำให้ประสบการณ์ของลูกค้า ถูกออกแบบมาสำหรับคนเพียงไม่กี่คน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดจะหดตัว 2 ปีติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี แต่ตลาดโดยรวมยังคงใหญ่กว่าปี 2019 ที่ยังไม่มีการระบาดของ COVID-19 ประมาณ 25% โดยตลาดเคยเติบโตสูงสุดถึง 3.69 แสนล้านยูโร ในปี 2023
ทั้งนี้ Bain คาดการณ์ว่า ในปีหน้าตลาดอาจจะฟื้นตัว 3-5% สู่ระดับ 3.65-3.75 แสนล้านยูโร


