จากสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่เคยเกือบล้มละลาย ปัจจุบัน Hungry Hub กลายเป็นแพลตฟอร์มจองร้านอาหารที่เติบโต รวมถึงสามารถสร้างยอดขายให้ร้านค้ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท และได้ขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศไปยังสิงคโปร์, มาเลเซีย และในปี 2026 จะเพิ่มอีก 2-3 ประเทศ เพื่อก้าวสู่โจทย์ใหญ่ นั่นคือ การเป็น OTA (Online Travel Agent) ด้านร้านอาหารระดับโลก
อะไรทำให้ Hungry Hub พลิกสถานการณ์และเดินหน้าธุรกิจต่อได้?
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 Hungry Hub ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2014 เพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้บริการระบบจองโต๊ะร้านอาหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Hungry Hub เล่าว่า มาจากเขามองเป้าหมายไม่ตรงกับร้านอาหาร
“ทุกร้านที่มาใช้บริการเรามีประเด็นเดียวกัน คืออยากได้ลูกค้ามากขึ้น แต่เรากำลังให้บริการซอฟต์แวร์เพื่อให้จองโต๊ะได้ง่ายขึ้น และเมื่อก่อนการดึงลูกค้าส่วนใหญ่ของแพลตฟอร์มจะให้ส่วนลด ซึ่งดีต่อผู้บริโภค แต่ไม่ดีกับร้านอาหารเพราะไม่เหลือมาร์จิน ทำให้แพลตฟอร์มพวกนี้กระแสดีมากสำหรับผู้บริโภค แต่ไปเร็วมากสำหรับร้านอาหาร”
ทางสุรสิทธิ์เองก็พยายามแก้ pain point ที่เกิดขึ้น และได้เห็นอีกโอกาสหนึ่งในมุมของผู้บริโภคเมื่อพาทีมงานไปกินข้าว โดยปัญหาที่พบเจอทุกครั้ง คือ ‘การคุมงบ’
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องจาก ‘โครงสร้างราคา’ ของร้านอาหารในไทย ถูกสร้างมาสำหรับพฤติกรรมการกินของคนยุโรปหรือสหรัฐฯ ซึ่งแต่ละคน เห็นราคา สั่งเอง กินเอง จ่ายเอง และไม่ได้สร้างขึ้นมาสำหรับแชร์ริ่ง หรือเลี้ยง ทำให้การจ่ายแต่ละมื้อสูงกว่าที่คิด
เมื่อเห็นโอกาส ทำให้เขาปรับโมเดลธุรกิจของ Hungry Hub ใหม่ในปี 2017 ด้วยการร่วมมือกับร้านอาหารสร้างแพ็กเกจเปลี่ยนจาก A la carte เป็นบุฟเฟต์เฉพาะลูกค้าที่จองผ่าน Hungry Hub แบ่งระดับเป็นเทียร์
ปรากฏว่า โมเดลนี้เวิร์กได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้บริษัทสามารถพลิกสถานการณ์จากกำลังจะล้มละลายกลับมามีกำไร และในปี 2018 มีการระดมทุน เพื่อมีแผนขยายต่างประเทศ แต่ปี 2020 ต้องหยุดชะงักไปจากวิกฤตโควิด และได้เริ่มดำเนินการอีกครั้งเมื่อปลายปี 2024 กับการขยายธุรกิจไปยังสิงคโปร์
Hungry Hub โตน่าสนใจแค่ไหน?
-ปัจจุบัน Hungry Hub มีร้านอาหารและโรงแรมเป็นพันธมิตรกว่า 2,500 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่มีอยู่ 1,700 ร้าน แบ่งเป็นบุฟเฟต์ 50%, ไฟน์ไดนิ่ง 20% ที่เหลือ เป็นประเภทอื่นๆ
-สร้างยอดขายให้กับร้านค้าได้แล้วกว่า 4 พันล้านบาท
-มีผู้ใช้ 1.2 ล้านคน ตอนนี้เปิดใช้หลายภาษารวม 15 ภาษา
-ค่าใช้จ่ายต่อบิลของคนไทยอยู่ที่ 1,100 บาท/คน/ครั้ง
-ร้านอาหารระดับต้นๆ ที่ทำรายได้สูงบน Hungry Hub สามารถทำรายได้ 1 ล้านบาท/เดือน และทำรายได้ 10 ล้านบาท/เดือน มากกว่า 10 ร้าน
สำหรับรายได้ปี 2024 อยู่ที่ 90 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ 110-120 ล้านบาท กำไร 20 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่า จะเติบโตประมาณ 50-60%
เดินหน้าสู่ OTA ร้านอาหารระดับโลก
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2026 Hungry Hub จะเดินหน้าสู่การเป็น Online Travel Agent (OTA) สำหรับร้านอาหารระดับโลก ซึ่งการขยายตลาดต่างประเทศนั้น นอกจากจะเป็นการสร้าง Network Effect ให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งแล้ว ยังเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการเติบโตจากบริษัทไทยสู่บริษัทระดับภูมิภาคในอนาคต
แผนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อปี 2024 Hungry Hub ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปยัง ‘สิงคโปร์’ ที่ภายในปีเดียวสามารถมีพาร์ทเนอร์ร้านอาหาร 250 ร้านค้า ส่วนปีนี้คาดว่า จะสามารถสร้างยอดขายให้ร้านอาหารที่สิงคโปร์ได้ 20 ล้านบาท ก่อนจะแตะ 100 ล้านบาทในปีหน้า
ขณะที่ช่วงปลายปีนี้ จะเข้าไปขยายตลาดใน ‘มาเลเซีย’ อย่างจริงจัง โดยปัจจุบันมีพันธมิตรร้านค้าประมาณ 50 ร้านค้า พร้อมกับตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2026 จะขยายธุรกิจไปในอีก 2-3 ประเทศ
นอกจากขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศแล้ว เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ทาง Hungry Hub ได้เปิดตัว 2 ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่
1) Multi-currency : ฟีเจอร์การแสดงผลหลายสกุลเงิน ช่วยให้นักท่องเที่ยวเห็นราคาในสกุลเงินของตนเอง ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการจองสะดวกและง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอง
2) Dynamic Pricing : ฟีเจอร์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น ตามดีมานด์ของลูกค้า ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถตั้งราคาได้ตามดีมานด์ของลูกค้า เช่น การตั้งราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่นั่ง (เช่น ทุก 10 ที่นั่ง เพิ่ม 5%) หรือการปรับราคาในช่วงเทศกาล
นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ AI มาช่วยแนะนำการปรับราคา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้ AI ปรับราคาอัตโนมัติหรือให้เจ้าของร้านเป็นผู้อนุมัติการปรับเปลี่ยนราคาเอง



