-
HOKA ทำตลาดในประเทศไทยครบ 8 ปี ปีนี้ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ในการโฟกัสสินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น
-
เทรนด์การวิ่ง รันคลับบูมทั่วโลก ไทยก็ไม่น้อยหน้า ดันตลาดอุปกรณ์กีฬาโตทุกปี HOKA ทำรายได้นิวไฮทุกปีเช่นกัน
-
HOKA ในประเทศไทยเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดรองเท้าวิ่งเทรล ส่วนตลาดวิ่งรวมอยู่เบอร์ 2-3 แล้วแต่ช่วง ภาพรวมในภูมิภาคอยู่เบอร์ 4 ใน APAC เป็นรองจีน เกาหลี ญี่ปุ่น
ปรับลุคสู่ไลฟ์สไตล์ แต่ไม่ทิ้ง DNA ของ Performance
ด้วยการแสของการวิ่งในปัจจุบันไม่ใช่เป็นแค่เทรนด์ที่มาแล้วผ่านไปอีกต่อไป ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของคนไทยไปแล้ว จากกีฬาที่มีคอมมูนิตี้กลุ่มเล็กๆ จนเกิดเป็น Run Club ที่รวมตัวคนที่สนใจการวิ่ง และหาเพื่อนใหม่ไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งยังเกิดกระแสของนักวิ่งเทสต์ดี แจ้งเกิดแบรนด์ใหม่ๆ จากทั่วโลก
HOKA (โฮก้า) เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แบรนด์รองเท้าเพอร์ฟอร์แมนซ์ระดับโลกที่แจ้งเกิดจากรองเท้าสายวิ่งเทรล แต่ตอนนี้ได้ครองใจทั้งสายวิ่งถนน และสายไลฟ์สไตล์ไปแล้วเรียบร้อย ปัจจุบัน HOKA อายุครบ 15 ปีแล้ว ส่วนในประเทศไทย ทำตลาดโดย บริษัท เรฟ อีดิชั่น จำกัด ตั้งแต่ปี 2560
จากความที่มีจุดแข็งเรื่องสายวิ่งเทรล และสาย Performance ที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจนจากการเป็นรองเท้าที่เปิดตลาดด้วยพื้นรองเท้าหนาๆ จึงมีสัมผัสที่นุ่ม สบาย เข้าถึงทุกคนได้ง่าย ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ เน้นที่ความเบา เพื่อเพิ่มสปีดในการวิ่ง แต่ HOKA มองว่าต้องมีการซัพพพอร์ตเท้าควบคู่กันไปด้วย ที่ให้แบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในปีนี้ HOKA ประเทศไทยประกาศปรับยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ มุ่งเน้นการเบลนด์นวัตกรรมรองเท้าวิ่งเข้ากับวิถีชีวิตประจำวัน รับเทรนด์ Run Club บูมทั่วโลก
พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรฟ อีดิชั่น จำกัด หรือ REV Edition เปิดเผยว่า
“ปัจจุบันเทรนด์การออกกำลังกายได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทำให้สินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ของ HOKA เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยสัดส่วนยอดขายปัจจุบันแบ่งเป็น กลุ่มวิ่งและไลฟ์สไตล์ถึง 70% ขณะที่กลุ่มวิ่งเทรลซึ่งเป็นจุดแข็งเดิมอยู่ที่ 30% แม้จะขยายสู่ตลาดไลฟ์สไตล์ แต่ HOKA ยังคงรักษา Performance DNA ไว้ครบถ้วน เพียงปรับดีไซน์ สี และหน้าผ้าให้สวมใส่ได้ง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน”
ไทยเบอร์ 1 ในอาเซียน
พรศักดิ์ เล่าต่อว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา HOKA เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดโกลบอล และตลาดประเทศไทย ซึ่งในระดับโกลบอลเพิ่งทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านเหรียญเมื่อปี 2567 ส่วนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2068 สร้างรายได้ไป 600 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว
ปัจจัยหลักที่ทำให้เติบโตมาจากตลาดทางฝั่งเอเชียแปซิฟิค หรือ APAC มีการเติบโตมหาศาลถึง 40% กลุ่ม 4 ประเทศที่เป็นตลาดหลักได้แก่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และไทย ถึงแม้ไทยจะเป็นอันดับ 4 ใน APAC แต่เป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มอาเซียน
การเติบโตในภูมิภาคนี้มาจากทั้งการเปิดร้านใหม่ๆ ร้านวิ่ง ร้านไลฟ์สไตล์ ร้านกีฬา ต่างๆ รวมถึงไลฟ์สไตล์การวิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง จากเดิมวิ่งเพื่อท้าทายความสามารถตัวเอง เพื่อสร้างสถิติให้ตัวเอง แต่ตอนนี้มีกลุ่มนักวิ่งหน้าใหม่ที่อยากลองวิ่ง หรือเปลี่ยนรูปแบบการพบปะสังสรรค์เป็นการออกกำลังกายแทน พอมีกลุ่ม Run Club ทำให้มีประชากรนักวิ่งเยอะขึ้น เกิดเป็นเทรนด์ใส่เสื้อผ้า หรือรองเท้าวิ่งในชีวิตประจำวัน ใส่ทำงานได้ วิ่งต่อก็ได้ ไม่ได้แยกจากกันแล้ว
ยึดทำเลทอง เปิด 3 สาขาใหม่รวด
HOKA เปิดสาขาแรกในประเทศไทยเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หลังจากนั้นก็มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ในปีนี้มีมูฟเมนต์ที่สำคัญที่สุดด้วยการเปิด 3 สาขารวด พร้อม “Hybrid Flagship Store” แห่งแรก เพื่อรองรับการเติบโต
- EmQuartier : รูปแบบ Concept Store แห่งแรกในอาเซียน เน้นไลน์สินค้าไลฟ์สไตล์เป็นครั้งแรก
- Siam Center : โมเดล Hybrid Flagship Store แห่งแรก และใหญ่ที่สุดในไทย พื้นที่กว่า 312 ตร.ม. เป็นศูนย์รวมสินค้าที่ครบครันที่สุดทั้ง Road, Trail และ Hike
- Central Ladprao: ร้านที่เน้นกลุ่ม Performance และคนเมืองโซนเหนือที่มีกำลังซื้อสูง ใช้คอนเซ็ปต์เดียวกับสโตร์หลักของ HOKA ในประเทศไทย อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์, เอ็มโพเรียม, และเมกาบางนา
ทำให้สิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งหมด 9 แห่ง
เศรษฐกิจซบ พาลูกค้าเก่าซื้อน้อยลง แต่ได้นักวิ่งหน้าใหม่
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ในตลาดกีฬาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่อาจจะไม่เท่าตลาดแฟชั่น พรศักดิ์บอกว่าส่วนใหญ่ลูกค้าเก่าซื้อน้อยลง แต่ได้นักวิ่งหน้าใหม่ๆ ในตลาดเข้ามาเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน HOKA ครองแชมป์ในตลาดรองเท้าเทรล ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 70% ส่วนรองเท้าวิ่งถนนอยู่อันดับ 2-3 แล้วแต่ช่วงเวลานั้นๆ
สำหรับใน REV Edition แล้ว HOKA ทำรายได้สัดส่วน 30-40% เป็นแบรนด์หัวหอกของบริษัท รองลงมาเป็นแบรนด์ Saucony, Kailas และ Brooks โดย HOKA ส่วนใหญ่เติบโตจากกลุ่มรองเท้าวิ่งถนน และรองเท้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น








