ราคาทองคำของไทยทำสถิติสูงสุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แตะระดับ 8,000–8,050 บาทต่อบาทเมื่อปลายเดือนสิงหาคมต่อเนื่องมาจนถึงต้นเดือนกันยายนนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ทองคำในตลาดทองภายในประเทศไทยมีราคาแพงถึงระดับ 8,000 บาท โดยราคาทองคำของไทยแตะระดับ 8,050 บาทต่อบาทครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2547 และเคลื่อนไหวอยู่ในระดับเฉลี่ยราว 7,950-8,000 บาทนับแต่นั้นเป็นต้นมา คาดว่าราคาทองคำในตลาดทองของไทยมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปจนถึงสิ้นปี 2547 โดยเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลกที่มีราคาแพงขึ้นในช่วงนี้
การที่ “ราคาทองคำ” เพิ่มสูงขึ้นมากในขณะนี้ เพราะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ น้ำมันดิบในตลาดโลกมีราคาสูงมากในรอบกว่า 3 ทศวรรษ โดยมีราคาขยับสูงขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ต้นปี 2547 และพุ่งผ่านแนวต้าน 40 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงจวบจนถึงสิ้นปี เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวที่มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุให้อัตราเงินเฟ้อโลกปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันความหวั่นวิตกเกี่ยวกับภัยก่อการร้ายในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะใกล้ช่วงฤดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาต้นเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ กระตุ้นให้ความต้องการซื้อทองคำเพื่อประกันความเสี่ยงในช่วงที่เหตุการณ์การเมืองโลกผันผวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าและเป็นที่เชื่อถือทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย ทองคำ มีบทบาทต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับโลหะมีค่าชนิดนี้ และมีความผูกพันใกล้ชิดกับเครื่องประดับทองคำอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งของคู่คนไทยแทบทุกเพศทุกวัยมาช้านาน รวมทั้งเป็นทรัพย์สมบัติมีค่าที่คนไทยนิยมเก็บออม เพื่อความมั่นคงทางการเงินของครอบครัว นอกจากนี้ ทองคำยังมีส่วนเกี่ยวพันกับพิธีมงคลต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ทองคำเป็นสินสอดทองหมั้นในพิธีมงคลสมรส ตลอดจนประเพณีนิยมในการให้ทองคำเป็นของขวัญของกำนัลในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน และเป็นโบนัสพิเศษที่บริษัทห้างร้านมอบให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานดีเด่นประจำปี
ความผันผวนของราคาทองคำในตลาดทองไทยในช่วงนี้ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการซื้อขายทองคำของไทย การที่ราคาทองสูงกว่าระดับ 8,000 บาท/บาท ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ชะลอการซื้อทองคำชั่วคราว เพื่อรอดูทิศทางราคาทองคำให้ชัดเจนก่อน จึงจะตัดสินใจซื้อ ส่งผลให้การซื้อทองคำย่านเยาวราชลดน้อยลง มีเพียงลูกค้าบางกลุ่มที่เกรงว่าราคาทองคำอาจแพงขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจซื้อทองคำเก็บไว้ เพื่อนำออกขายในภายหน้า แต่ลูกค้ากลุ่มนี้มีจำนวนไม่มากนัก
สำหรับบรรดาบริษัทและห้างร้านต่างๆ ที่นิยมสั่งทำของขวัญของชำร่วยด้วยทองคำสำหรับสมนาคุณแก่ผู้มีอุปการคุณในเทศกาลปีใหม่ ส่วนใหญ่ได้ตกลงกับร้านค้าทองและสั่งทำของชำร่วยล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันร้านค้าทองส่วนใหญ่ก็ได้เตรียมสำรองทองคำสำหรับจัดทำของชำร่วยให้แก่ลูกค้าเหล่านั้นไปแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายจึงแทบจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการที่ราคาทองคำแพงขึ้นในขณะนี้
ส่วนด้านการนำทองคำออกขายคืน ปรากฏว่าในช่วงที่ทองคำมีราคาแพงเป็นประวัติการณ์ในระยะนี้ กลับไม่ค่อยมีผู้นำทองคำที่เก็บสะสมไว้มาขายคืนแก่ร้านค้าทอง เพราะเก็งกันว่าราคาทองคำอาจแพงขึ้นอีก เนื่องจากเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ยังคงร้อนระอุ อาทิ เหตุการณ์วิปโยคที่รัสเซียและระเบิดกลางกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งผลให้เกรงกันว่าภัยก่อการร้ายยังคงคุกคามโลกต่อไป โดยเฉพาะใกล้เลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯตอนปลายปีนี้ ทำให้ผู้ที่ถือทองคำไว้ รอจังหวะที่จะขายคืนช่วงที่ราคาทองคำแพงขึ้นอีกในระยะต่อไป
แกะรอยราคาทองคำไทย หลังวิกฤตค่าเงินเอเชีย
ตลาดทองคำของไทยเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หลังจากที่ประเทศไทยผ่านพ้นมรสุมเศรษฐกิจ-การเงินเมื่อ 7 ปีก่อน และค่าเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวอย่างเสรีนับจากนั้นเป็นต้นมา ส่งผลให้เงินบาทมีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาทองคำในตลาดทองของไทยด้วย เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด ราคาทองคำที่ซื้อขายในประเทศไทยจึงถูกกำหนดโดยราคาทองคำในตลาดโลกและค่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทิศทางความเคลื่อนไหวของราคาทองคำไทยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจสรุปได้ดังนี้
– ทองแพงขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว ราคาทองคำของไทยอยู่ในช่วงขาขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยราคาทองคำของไทยผ่านแนวต้าน 6,000 บาท/บาทในช่วงต้นปี 2545 และทะลุระดับ 7,000 บาท/บาทในช่วงปลายปีเดียวกันนั้น เทียบกับราคาทองคำที่อยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 4,500-5,500 บาท/บาทในช่วงระหว่างปี 2540-2544
ราคาทองคำของไทยยังคงทรงตัวอยู่เหนือระดับเฉลี่ย 7,000 บาท/บาทตลอดปี 2546 และทำสถิติสูงสุดแตะระดับ 7,800 บาท/บาทเป็นครั้งแรก ณ สิ้นปีนั้น ก่อนที่ราคาทองคำของไทยจะทำสถิติสูงสุดระดับใหม่ ณ ระดับ 8,050 บาท/บาทเมื่อปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายน 2547 นับเป็นราคาที่พุ่งขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว เมื่อเทียบกับราคาทองคำที่เคยซื้อขายอยู่ในระดับเฉลี่ย 4,250 บาท/บาทเมื่อกลางปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการประกาศปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว
– ค่าเงินบาทชี้ชะตาราคาทองไทย ทองคำเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยไม่มีแหล่งแร่ทองคำขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตทองคำสำหรับใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ราคาทองคำที่จำหน่ายในประเทศไทยจึงเคลื่อนไหวตามราคาทองคำต่างประเทศเป็นหลัก รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทด้วย หลังจากที่ทางการไทยปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัว การคิดคำนวณราคาทองคำของไทยจึงต้องนำอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทมาคิดคำนวณเช่นกัน ทิศทางของค่าเงินบาทจึงมีอิทธิพลต่อราคาทองคำของไทยตลอด 7 ปีที่ผ่านมา โดยในช่วงที่เงินบาทมีค่าเข้มแข็ง จะมีส่วนทำให้ราคาทองคำปรับลดลง ในทางกลับกัน เมื่อเงินบาทมีค่าอ่อนตัวลง จะมีส่วนทำให้ราคาทองคำของไทยขยับขึ้น เพราะราคาทองคำที่นำเข้าอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจุบันราคาทองคำของไทยแพงขึ้นตามราคาทองคำต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ออนซ์ ขณะเดียวกันการที่ค่าเงินบาทของไทยอ่อนตัวลงประมาณ 5-6% ในช่วงนี้เมื่อเทียบกับตอนต้นปี โดยค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับเฉลี่ยราว 41.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับอัตราเฉลี่ยประมาณ 39.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯตอนต้นปี 2547 ก็มีส่วนทำให้ราคาทองคำของไทยทะลุระดับ 8,000 บาท/บาท
– ทำไมทองคำแพง? ความผันผวนของราคาทองคำในตลาดทองไทยในช่วงที่ผ่านๆมา เป็นไปตามทิศทางราคาทองคำต่างประเทศและค่าเงินบาท ปัจจัยที่กำหนดทิศทางราคาทองคำตลาดโลก ซึ่งมีผลต่อราคาทองคำไทยด้วย ได้แก่
(1) วิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยที่พร้อมจะผลักดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกแพงขึ้นในทันทีที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบต่างๆ โดยเฉพาะภัยก่อการร้ายและภัยจากสงครามสู้รบระหว่างประเทศ ซึ่งกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหมู่มาก ทำให้ประชาชนทั่วโลกระวังภัยดังกล่าวด้วยการซื้อทองคำเก็บไว้ เพราะมองว่าทองคำเป็นทรัพย์สินมีค่าที่สุดในยามเกิดภัยพิบัติคับขัน
(2) ราคาน้ำมันโลก เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อราคาทองคำอีกประการหนึ่ง เนื่องจากวิกฤตราคาน้ำมันแพง จะเป็นชนวนให้ภาวะเงินเฟ้อปะทุขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันภาวะเงินเฟ้อ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่า
(3) เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กล่าวได้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เปรียบเสมือนคู่แข่งของทองคำ เมื่อใดที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าเข้มแข็ง จะส่งผลให้ความต้องการซื้อทองคำชะลอลง เพราะนักลงทุนสนใจซื้อเงินดอลลาร์มากกว่า ในทางตรงข้าม ในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง ทองคำจะเป็นทางเลือกการลงทุนที่จูงใจมากกว่า
แนวโน้มตลาดทองไทย
ราคาทองคำของไทยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามราคาทองคำต่างประเทศ ที่คาดว่าจะยังคงรักษาความเข้มแข็งต่อไปในช่วงปลายปีนี้และต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2548 เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เกื้อหนุนราคาทองคำจะยังคงมีอิทธิพลต่อการซื้อขายทองคำในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ของโลกที่ยังไม่คลี่คลายลงโดยง่าย ทำให้ตลาดทองคำต่างประเทศยังคงมีแรงซื้อทองคำเป็นระยะๆ จึงคาดว่าราคาทองคำของไทยจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงคล้อยตามราคาทองคำตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาทองคำในตลาดทองของไทยที่แพงขึ้น จะกดดันความต้องการซื้อทองคำและเครื่องประดับทองคำรูปพรรณของคนไทยทั่วไปในช่วงที่ราคาทองคำค่อนข้างผันผวน แต่ในระยะยาวคาดว่าธุรกิจค้าทองคำของไทยมีแนวโน้มแจ่มใสและน่าจะมีเสถียรภาพมั่นคง บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินสถานการณ์การซื้อขายทองคำและเครื่องประดับทองรูปพรรณในตลาดทองไทยในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า จะได้รับแรงเกื้อหนุนจากปัจจัยต่างๆ สรุปได้ดังนี้
– แรงซื้อตามฤดูกาล คาดการณ์ว่าความต้องการซื้อทองคำและเครื่องประดับทองรูปพรรณของคนไทยมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในช่วงใกล้เทศกาลส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ และต่อเนื่องด้วยเทศกาลเฉลิมฉลองวันตรุษจีนในช่วงต้นปี 2548 ทั้งนี้ คนไทยมักนิยมซื้อทองเพื่อเป็นของขวัญของกำนัลและเพื่อเก็บสะสมเป็นสมบัติของตนเอง หลังจากที่ได้รับเงินโบนัสพิเศษจากนายจ้าง ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราประมาณ 6% ในปีนี้ ทำให้ธุรกิจต่างๆ มีผลประกอบการที่ดี ส่งผลต่อเนื่องให้ประชาชนมีเงินเก็บออมเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการเก็บออมทรัพย์สินมีค่าเช่นทองคำด้วย จึงคาดว่าการซื้อทองคำและเครื่องประดับทองคำในตลาดทองไทยจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี
นอกจากนี้ ปัจจัยที่เกื้อหนุนการซื้อทองคำและเครื่องประดับทองคำของคนไทยทั่วไป โดยเฉพาะประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศไทยที่นิยมซื้อเครื่องประดับทองคำตกแต่งร่างกายเพื่อความสวยงามและแสดงถึงฐานะความมั่งคั่ง ก็คือ ทางการไทยเตรียมบังคับใช้มาตรการกำหนดมาตรฐานทองคำ ซึ่งต้องมีเปอร์เซ็นต์เนื้อทองขั้นต่ำ 96.5% มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้อย่างทั่วถึงและจริงจังนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป คาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนชาวไทยในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ทำให้การซื้อขายทองคำคล่องตัวยิ่งขึ้นทั้งในเขตตัวเมืองและต่างจังหวัด เพราะผู้ซื้อสามารถซื้อทองคำและเครื่องประดับทองคำจากร้านค้าทองกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีคุณภาพมาตรฐานเท่าเทียมกัน
การดำเนินการดังกล่าวเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กับสมาคมผู้ค้าทองคำแห่งประเทศไทย ในการกำหนดคุณภาพทองคำรูปพรรณของไทยให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งระบุให้ทองคำรูปพรรณที่จำหน่ายในตลาดทองของไทยจะต้องมีเนื้อทองคิดเป็นสัดส่วนขั้นต่ำ 96.5% เนื่องจากทองคำรูปพรรณเป็นรายการสินค้าประเภทหนึ่งที่สคบ. ให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค โดยกำหนดให้ร้านค้าทองต้องติดป้ายแสดงราคาขายและราคารับซื้อทองอย่างชัดเจน รวมทั้งระบุเปอร์เซ็นต์เนื้อทองและน้ำหนักของเครื่องประดับทองรูปพรรณแต่ละประเภทอย่างถูกต้องและตรงตามความเป็นจริงทุกประการ
การกำหนดมาตรฐานทองคำในอัตราส่วน 96.5% นับเป็นสัดส่วนมาตรฐานที่ร้านทองชั้นนำย่านเยาวราชยอมรับและใช้กันมาช้านานแล้ว เนื่องจากเนื้อทองคำ 96.5% จัดเป็นทองที่มีคุณภาพดี เพราะมีความแข็งแรงคงทน สามารถทำเป็นลวดลายต่างๆได้หลากหลายรูปแบบ และสีของทองคำสวยงาม ดังนั้น การกำหนดเปอร์เซ็นต์ทองรูปพรรณให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าเครื่องประดับทองรูปพรรณมีคุณภาพเท่าเทียมกันไม่ว่าจะซื้อจากร้านทองแห่งใดก็ตาม จึงคาดว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อทองคำและเครื่องประดับทองคำของชาวไทยทั่วไป เพราะทองคำเป็นทรัพย์สินมีค่าที่คนไทยนิยมเก็บสะสมไว้ การบังคับใช้มาตรฐานทองคำดังกล่าวจะทำให้การค้าทองโปร่งใสและเป็นธรรม รวมทั้งเป็นการรับประกันเบื้องต้นให้แก่ผู้ซื้อว่าจะไม่ถูกหลอกลวง
– จับตลาดนักท่องเที่ยวจีน รับอานิสงส์เปิดค้าทองคำเสรี ทางการจีนเตรียมที่จะอนุญาตให้ประชาชนชาวจีนสามารถซื้อขายทองคำได้อย่างเสรี หลังจากที่รัฐบาลจีนคุมเข้มการค้าทองคำมาเป็นเวลานาน คาดว่าการเปิดเสรีการค้าทองคำ จะทำให้ตลาดค้าทองคำของจีนบูมอย่างรวดเร็ว เพราะชาวจีนที่มีเงินเก็บออม จะแบ่งสรรเงินออมส่วนหนึ่งไปซื้อทองคำเพื่อเก็บสะสมไว้เป็นทางเลือกการออมอีกทางหนึ่ง ทดแทนการออมในรูปตัวเงินแต่เพียงอย่างเดียว จึงมีแนวโน้มว่าตลาดทองของไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนเฉลี่ยสูงถึง 600,000-700,000 คนต่อปี คาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะสนใจซื้อทองในตลาดทองคำของไทยเพิ่มขึ้น หลังจากที่ทางการจีนอนุญาตให้ชาวจีนทั่วไปสามารถครอบครองทองคำเป็นสมบัติส่วนตัวได้
นอกจากนี้ การที่ทางการไทยบังคับใช้มาตรการกำหนดคุณภาพทองคำและเครื่องประดับทองรูปพรรณที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศอย่างจริงจัง จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชาวต่างชาติ รวมทั้งชาวจีน ที่นิยมเครื่องประดับทองคำในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับไทย เพราะผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าทองคำและเครื่องประดับทองรูปพรรณของไทยเป็นสินค้ารับประกันคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วยเนื้อทองคำไม่น้อยกว่า 96.5% และมีน้ำหนักตรงตามที่ระบุไว้อย่างแน่นอน นับเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงทองคำและเครื่องประดับทองรูปพรรณของไทยให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางยิ่งขึ้นในตลาดต่างประเทศ
แม้ว่าความต้องการซื้อทองคำและเครื่องประดับในตลาดทองไทยมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปี 2548 เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อภายในประเทศช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ รวมทั้งแรงซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อทองคำให้ชะลอลง ก็คือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่เริ่มขยับสูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ หลังจากที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำมานาน เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อในกรณีที่วิกฤตราคาน้ำมันแพงยืดเยื้อ ซึ่งจะผลักดันให้ราคาสินค้าทั่วไปเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น หากทางการไทยทยอยปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นระยะๆ จะทำให้ประชาชนชาวไทยทั่วไปเก็บออมสินทรัพย์ในรูปตัวเงินมากขึ้น อาจกระทบต่อความต้องการซื้อทองคำเพื่อเก็บออม