เวชสำอาง : อิงกระแสผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ…แนวโน้มที่น่าสนใจ

การที่องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุขเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครีมจีพีโอ เคอร์มินท์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ“ครีมหน้าเด้ง”นับว่าเป็นการเปิดหน้าใหม่ให้กับวงการเครื่องสำอางของไทย โดยเป็นการเปิดตลาดให้กับผลิตภัณฑ์เวชสำอางหรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้สมุนไพรเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของสมุนไพรไทย โดยสมุนไพรต่างๆนั้นนับเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเวชสำอาง รวมทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีการผลิต และความสำเร็จในการศึกษาวิจัยเพื่อนำประโยชน์ของสมุนไพรมาใช้ในเชิงพาณิชย์ อันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้แล้วประเทศไทยยังจะเป็นที่จับตามองในฐานะที่จะเป็นอีกประเทศหนึ่งที่จะมีบทบาทในการส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ในปัจจุบันนี้ตลาดเวชสำอางนั้นมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสนใจผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นด้วย

เวชสำอาง (Cosmeceuticals)เป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องสำอางและ/หรือยาไว้ด้วยกัน นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ในวงการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ปัจจุบันผู้บริโภคหันมานิยมผลิตภัณฑ์เวชสำอางมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์เวชสำอางมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เวชสำอางธรรมชาติ(Natural Cosmeceuticals) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องไม่มีส่วนผสม(เช่น กลิ่น สี สารปรุงแต่ง สารที่ทำให้คงสภาพ ตัวทำละลาย เป็นต้น)ที่เป็นสารสังเคราะห์ รวมทั้งยังต้องไม่มีการฉายรังสี ไม่มีการใช้วัตถุดิบที่ปนเปื้อนหรือตัดแต่งพันธุกรรม และไม่ใช้สัตว์ทดลอง(โดยการใช้สัตว์ทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิภาพและอาการแพ้ที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมาใหม่)

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจการผลิตเวชสำอางขยายตัวอย่างรวดเร็วคือ ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ปลอดจากสารเคมี และการผลิตต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับว่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในธุรกิจเครื่องสำอางเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารที่ทำให้เกิดธุรกิจการผลิตอาหารเสริมสุขภาพ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมคุณสมบัติของอาหารและ/หรือยาเอาไว้ด้วยกัน ทำให้บรรดาบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางต้องเร่งปรับปรุงและคิดค้นสูตรการผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนทางด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆที่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบ โดยเฉพาะการวิจัยถึงสรรพคุณของสมุนไพรต่างๆเพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ และเป็นมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากล ผลที่ตามมาคือผู้บริโภคมีความเชื่อถือในผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาจะมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะดึงให้ผู้บริโภคหันมาใช้ผลิตภัณฑ์เวชสำอางมากขึ้น เช่นเดียวกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นในธุรกิจอาหารเสริมสุขภาพ นอกจากนี้การแพร่ระบาดของโรคต่างๆในปศุสัตว์ ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากพืชมากขึ้น (เช่น โรควัวบ้าเนื่องจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบางประเภทใช้ไขวัวเป็นวัตถุดิบ เป็นต้น) ซึ่งในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิว(โดยเฉพาะสรรพคุณเกี่ยวกับการป้องกันความเหี่ยวย่น) ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม และผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหย ซึ่งในฉลากผลิตภัณฑ์จะมีการระบุถึงวัตถุดิบจากธรรมชาติ รวมถึงสรรพคุณไว้อย่างชัดเจน

สิ่งที่เป็นข้อจำกัดหรือปัจจัยพึงระวังอย่างมากในการเลือกใช้วัตถุดิบธรรมชาติประเภทใดก็ตามก็คือ ความเพียงพอและความสม่ำเสมอทั้งในแง่ของปริมาณ คุณภาพ ราคา และความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งหมายถึงสมุนไพรที่เลือกมาใช้เป็นวัตถุดิบในธุรกิจเวชสำอางนั้นต้องมีคุณสมบัติที่กล่าวมานี้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตามการพึ่งพาเทคโนโลยีทางชีวภาพ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากที่ทำให้ข้อจำกัดของธุรกิจเวชสำอางเหล่านี้ลดลงไปได้ แต่ผู้ผลิตเวชสำอางต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ตัดแต่งพันธุกรรมเป็นวัตถุดิบ เนื่องจากปัจจุบันมีข้อบังคับเกี่ยวกับข้อมูลฉลากสินค้าที่ต้องระบุส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ว่ามีการปนเปื้อนของผลิตภัณฑ์ตัดแต่งพันธุกรรมหรือไม่

ปัจจุบันในประเทศไทยมีโรงงานผลิตเครื่องสำอางประมาณ 300 แห่ง แบ่งเป็นโรงงานร่วมทุนระหว่างคนไทยกับต่างประเทศร้อยละ 80 และส่วนที่เหลือร้อยละ 20 เป็นของคนไทย ปริมาณเครื่องสำอางที่ผลิตได้ร้อยละ 70 จำหน่ายในประเทศ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 30 จะส่งออก รวมทั้งยังมีการนำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเครื่องสำอางยี่ห้อที่มีชื่อเสียง ทั้งนี้ทิศทางของโรงงานผลิตเครื่องสำอางในประเทศต้องปรับตัวให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภค และสภาพการแข่งขันในตลาดเพื่อความอยู่รอด โดยโรงงานขนาดกลาง-เล็กของคนไทยจะผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์ความโดดเด่น แตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาดเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับสินค้าของโรงงานผลิตขนาดใหญ่ที่มีความได้เปรียบทั้งแง่ของต้นทุนและในด้านการตลาด ชึ่งเป็นการเจาะตลาดแบบเฉพาะเจาะจงหรือที่เรียกว่า“นิชมาร์เก็ต” รวมทั้งสร้างตราสินค้าของตนเองให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้มีโรงงานผลิตเครื่องสำอางของคนไทยบางรายที่ปรับกลยุทธ์หันไปรับจ้างผลิตสินค้าส่งออกเพิ่มขึ้น พร้อมกับผลิตสินค้าตนเองออกจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งก็ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในต่างประเทศมากขึ้น เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไป โดยจะเลือกซื้อสินค้าที่คำนึงถึงคุณภาพและราคา มากกว่าคำนึงว่าจะต้องเป็นยี่ห้อดังๆเหมือนในอดีต

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางนับว่ามีกลยุทธ์การปรับตัวที่น่าสนใจอย่างมาก ซึ่งนอกจากการปรับตัวเพื่อหาตลาดเฉพาะหรือ“นิชมาร์เก็ต” และการแสวงหาตลาดส่งออกแล้ว ตลาดที่น่าสนใจมากคือ ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยเฉพาะเวชสำอางที่ใช้สมุนไพรหลากหลายชนิดเป็นวัตถุดิบ ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากตอบรับกับกระแสอิงธรรมชาติ โดยที่ไทยมีความได้เปรียบในแง่ของความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบประเภทสมุนไพรที่สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางนานาชนิด ซึ่งผู้ประกอบการของไทยต้องเร่งยกระดับมาตรฐานการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เวชสำอางในประเทศ โดยมีโอกาสที่จะขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างมาก

ปัจจุบันตลาดเวชสำอางในประเทศมีมูลค่าตลาดสูงถึง 2,000 ล้านบาทต่อปี และมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 30 ต่อปี โดยตลาดเครื่องสำอางจากสมุนไพรแบ่งออกเป็นกลุ่มยี่ห้อต่างประเทศ และกลุ่มที่ผลิตในประเทศ จุดขายสำคัญที่น่าจับตามองคือ การสร้างภาพลักษณ์สินค้าให้สอดคล้องกับกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เดิมนั้นราคาของเครื่องสำอางสมุนไพรที่วางจำหน่ายจะอยู่ในเกณฑ์สูง โดยเฉพาะเครื่องสำอางสมุนไพรนำเข้า ดังนั้นกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายจะเป็นผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไป และส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยทำงาน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการพยายามขยายฐานลูกค้าเพื่อจับตลาดกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและต่อเนื่อง รวมทั้งมีการขยายตัวของการผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรในระดับชาวบ้านหรือกลุ่มแม่บ้านต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยสินค้าเครื่องสำอางสมุนไพรกลุ่มนี้ราคาไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องสำอางสมุนไพรที่นำเข้า ทำให้ได้รับการตอบรับของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งความนิยมของสถานเสริมความงามด้วยสมุนไพรที่มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ตลาดของเครื่องสำอางสมุนไพรขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสมุนไพรที่ใช้ในประเทศนั้นราคาจำหน่ายจะต่ำกว่า และส่วนมากจะผลิตโดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกร โดยมีลักษณะการผลิตในครัวเรือน แต่ก็มีผู้ผลิตบางรายที่ขยายกิจการไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมทั้งเพื่อจำหน่ายในประเทศและการส่งออก ทั้งนี้ตลาดในต่างประเทศก็เริ่มหันมานิยมเครื่องสำอางจากสมุนไพรมากขึ้นเช่นกัน

ปัจจุบันผู้ผลิตเวชสำอางของไทยเริ่มรุกตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยการเน้นไปที่การใช้ส่วนผสมทางการตลาด(Marketing Mix)คือ ผลิตภัณฑ์ภัณฑ์และสถานที่จัดจำหน่าย โดยการเพิ่มสูตรผสมสมุนไพรใหม่ๆ ผสมผสานวัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ การปรับสูตรส่วนผสมใหม่ๆในเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ปัญหาการไม่รู้จักสมุนไพรไทย ส่วนในด้านจุดแข็งของการผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางของไทยก็คือ สมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบนั้นส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักและยอมรับในสรรพคุณของคนไทยอยู่แล้ว ส่วนการประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศแม้ว่าชาวต่างชาติจะยังไม่รู้จักสรรพคุณของสมุนไพรไทยอย่างกว้างขวาง แต่ก็นับว่าเป็นจุดเด่นในการสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากไทย เนื่องจากใช้สมุนไพรใหม่ๆและแปลกๆ โดยเฉพาะสมุนไพรพื้นบ้านที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักสำหรับชาวต่างประเทศ โดยมีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยสรรพคุณที่สามารถอ้างอิงได้ทางวิทยาศาสตร์ นับว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานเครื่องสำอางสมุนไพรไทยให้สูงขึ้น และเป็นที่ยอมรับในวงกว้างและการสร้างช่องทางจำหน่ายโดยผ่านบริษัทจัดจำหน่ายเครื่องสำอางในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังต้องมีการเจรจาหาคู่ค้าใหม่ๆ จากการเปิดตัวในงานแสดงสินค้านานาชาติ ตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจในปัจจุบันจะเป็นตลาดในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง อินเดีย สิงคโปร์ และประเทศในย่านตะวันออกกลาง ส่วนเป้าหมายการขยายตลาดเวชสำอางของไทยในระยะต่อไปได้แก่ แอฟริกาใต้ สหรัฐฯและยุโรป ซึ่งผู้บริโภคเครื่องสำอางในตลาดเหล่านี้มีความนิยมสินค้าผลิตภัณฑ์เวชสำอางเพิ่มมากขึ้น สอดรับกับกระแสรักษ์สุขภาพที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก

มูลค่าตลาดเวชสำอางในตลาดโลกในปี 2547 เท่ากับ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 17.0 ของตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์เวชสำอางแยกออกได้เป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ(Skincare)ร้อยละ 57.4 ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม(Haircare)ร้อยละ 21.3 แชมพู(Shampoo)ร้อยละ 14.4 ครีมนวด(Conditioner)ร้อยละ 5.3 และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการตกแต่ง(Styling Agents)ร้อยละ 1.6 คาดว่าในปี 2549 มูลค่าตลาดเวชสำอางจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 35.0 ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปีติดต่อกัน ตลาดใหญ่ที่สุดในโลกของเวชสำอางคือ สหรัฐฯซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 35.0 ของมูลค่าการค้าผลิตภัณฑ์เวชสำอาง รองลงมาคือ ญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส

ในปัจจุบันธุรกิจเวชสำอางหันมาให้ความสนใจกับแหล่งสมุนไพรในประเทศเขตร้อน เนื่องจากในประเทศเหล่านี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของสมุนไพรที่เหมาะจะใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเวชสำอางประเภทต่างๆ ดังนั้นจึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยในฐานะที่เป็นแหล่งสำคัญสำหรับวัตถุดิบของการผลิตเวชสำอาง ซึ่งการผลักดันให้มีการค้นคว้าวิจัย และพัฒนาจนกระทั่งผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางต่างๆออกมาได้ ผลิตภัณฑ์เวชสำอางของไทยก็จะได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและในตลาดโลก

อนาคตของตลาดเวชสำอางหรือเครื่องสำอางสมุนไพรของไทยมีแนวโน้มแจ่มใสทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ เนื่องจากได้ปัจจัยหนุนจากกระแสนิยมธรรมชาติ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรของไทยนั้นต้องอาศัยจุดแข็งในเรื่องความได้เปรียบในเรื่องความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบสมุนไพร รวมทั้งการผลักดันให้สมุนไพรของไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับของชาวต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการรุกคืบไปเปิดตลาดเวชสำอางในต่างประเทศต้องอาศัยฐานการผลิตและการตลาดที่เข้มแข็งในประเทศก่อนเพื่อที่จะสามารถก้าวไปแข่งขันกับเครื่องสำอางของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายได้ โดยการเจาะตลาดแบบเฉพาะเจาะจงหรือ“นิชมาร์เก็ต”จึงจะประสบความสำเร็จ