28 กุมภาพันธ์ 2548 – นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) เเถลงผลประกอบการปี 2547 มียอดรับรู้รายได้ทั้งสิ้น 2,345.81 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 1,064.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 46% ของยอดขายที่รับรู้รายได้ เเละกำไรสุทธิ 580.48 ล้านบาทหรือคิดเป็น 24.86% ของยอดขายที่รับรู้รายได้ พร้อมเปิดโครงการเพิ่มอีกอย่างน้อย 4 โครงการ มูลค่ากว่า 4.55 พันล้านบาท
นายไชยยันต์ ได้ให้ภาพรวมในปี 2547 ว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจาก Demand ที่ชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคมีการตัดสินใจซื้อบ้านมากขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 เพื่อรับสิทธิมาตรการพิเศษการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ และระหว่างปี 2547 มีการเเข่งขันที่รุนเเรง รวมถึงถูกบั่นทอนด้วยปัจจัยลบ เช่น ราคานํ้ามันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงกลางปี อัตราดอกเบี้ยที่จะขยับตัวขึ้นในอนาคต ราคาวัสดุที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เเละสถานการณ์ ภาคใต้ 3 จังหวัด โรค SARS เเละไข้หวัดนก อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในเเง่ของด้านความต้องการของผู้ซื้อบ้านที่มีอัตราเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 24% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2546 โดยได้รับเเรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 5 – 6 % ต่อปี เเละยังได้รับเเรงสนับสนุนจากภาครัฐฯ เเละเอกชนในการร่วมกันจัดตั้งศูนย์ข้อมูลต่างๆ เช่น ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ / สภาที่อยู่อาศัย / ดัชนีราคาบ้านเเละที่ดิน โดยเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจที่มีส่วนได้เสียกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เจริญเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
สำหรับปี 2548 นั้นคาดว่าการเจริญเติบโตในด้านของอุปทาน จะค่อยๆ น้อยลง เเละเข้าสู่สมดุลระหว่างอุปสงค์เเละอุปทาน เนื่องจากสถาบันการเงินเริ่มที่จะเข้มงวดในการพิจารณาให้ สินเชื่อในโครงการใหม่เเละโครงการเก่าที่ผิดพลาดและก่อให้เกิดเสถียรภาพในระยะยาว
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างบูรณาการ โดยภาคการผลิตที่เเท้จริงและการส่งออกขยายตัวอย่างแข็งเเกร่ง ทำให้เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโต 5.5%+ การจ้างงานและรายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ของตลาดบ้านมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
เเละคาดว่าอัตราการเจริญเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตไม่ตํ่ากว่า 15 % สำหรับ บมจ.ลลิลฯ ก็ได้วางกลยุทธ์ตลาด เน้น real demand โดยมุ่งจับตลาดกลางมาโดยตลอด จึงได้กำหนดแผนงานเปิดโครงการใหม่ ปี 2548 อย่างน้อย 4 โครงการ
1.โครงการบุรีรมย์ วงแหวน -ปิ่นเกล้า 1,300.- ล้านบาท ไตรมาส 1
2.โครงการบุรีรมย์ พระราม2 – เอกชัย 1,250.- ล้านบาท ”
3.โครงการ บ้านลลิล 1,000.- ล้านบาท ไตรมาส 3
4.โครงการ บ้านลลิลหรือลลิล กรีนวิลล์ 1,000.- ล้านบาท ”
4,550.- ล้านบาท
เเละเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ได้ระดมเงินทุนโดยมีการออกหุ้นกู้ เเบบไม่มีหลักทรัพย์คํ้าประกันเป็น จำนวนเงิน 800 ล้านบาท เรตติ้งที่ BBB+ ระยะเวลา 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.3% โดยเฉลี่ยต่อปี เเละได้ออกตั๋วเเลกเงินจำนวน 300 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.85% ต่อปี โดยจำนวนเงินดังกล่าวจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ซึ่งการยอมรับในตลาดการเงินนี้จะสะท้อนให้เห็นความเเข็งเเกร่งด้านการเงิน รวมทั้งความสามารถในการทำกำไร การเป็นผู้นำบ้านระดับกลางเเละประสบการณ์ที่มีมานานในธุรกิจนี้
“บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เชื่อมั่นในทีมงานมืออาชีพและความเป็นผู้นำในการสร้างบ้านระดับกลางพร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริหารรุ่นใหม่ด้วยชุนชนคุณภาพ พร้อมสิ่งแวดล้อมและการบริการบริหารชุมชนหลังการขาย ซึ่งจะทำให้บ้านของลูกค้าอยู่อาศัยอย่างเป็นสุข และเพิ่มมูลค่าตลอดไป ขณะเดียวกันก็ยังมีความมุ่งมั่นการพัฒนาโครงการฯ เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน และผู้ถือหุ้นสืบไป” นายไชยยันต์กล่าวในที่สุด