กลุ่มซัมมิท โอโต กรุ๊ป นำบริษัทไทยสตีลเคเบิลเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่งตั้ง บล.ไทยพาณิชย์เป็นที่ปรึกษาทาง การเงิน กระจาย 58.3 ล้านหุ้น และมีกรีนชูอีกจำนวน 8.7 ล้านหุ้น รวมเป็น 67 ล้านหุ้น หวังระดมทุนย้ายฐานการผลิตไปนิคมอมตะนคร ดันกำลังการผลิตรวมเพิ่มอีก 10 ล้านชิ้นต่อปี
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า บริษัทไทยสตีลเคเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ TSC ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการผลิตสายควบคุม และชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่าง รถยนต์ เพื่อจำหน่ายแก่บริษัทผลิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ ยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เพื่อเสนอขายหุ้น รวม 67 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 58.3 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 22.44% ของทุนชำระแล้ว หลังการขายหุ้นครั้งนี้ และหุ้นสามัญที่จะเสนอขายแก่ผู้จัดสรรหุ้นส่วนเกิน(กรีนชูออปชัน) 8.7 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท
ทั้งนี้ บริษัทแต่งตั้งบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินซึ่งภายหลัง รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า บริษัทไทยสตีลเคเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ TSC ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นผู้ให้บริการผลิตสายควบคุม และชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่าง รถยนต์ เพื่อจำหน่ายแก่บริษัทผลิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ ยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เพื่อเสนอขายหุ้น รวม 67 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 58.3 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 22.44% ของทุนชำระแล้ว หลังการขายหุ้นครั้งนี้ และหุ้นสามัญที่จะเสนอขายแก่ผู้จัดสรรหุ้นส่วนเกิน(กรีนชูออปชัน) 8.7 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท
ทั้งนี้ บริษัทแต่งตั้งบล.ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินซึ่งภายหลังเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปจะทำให้สัดส่วนลดลงเหลือ 31.10%
วัตถุประสงค์การเข้าจดทะเบียนครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ลงทุนก่อสร้างโรงงาน ใหม่ เพื่อย้ายฐานการผลิตสายควบคุมและชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่างรถยนต์ของบริษัทไปยังนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี จากเดิมที่จังหวัด สมุทรปราการ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนรวม 405-430 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน คาดเริ่มก่อสร้างได้ไตรมาส 3/48 ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในปี 2549 และชำระคืนเงินกู้บางส่วน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
การย้ายฐานการผลิตจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวม (ทั้งสายควบคุมและชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่างรถยนต์) 30 ล้านชิ้นต่อปี จากปี 2547 ที่มี 20 ล้านชิ้นต่อปี และนอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อเครื่องมือสำหรับทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องทดสอบความสั่นสะเทือน เครื่องทดสอบความร้อนและความเย็น ซึ่งจะทำ ให้บริษัทลดต้นทุนและประหยัดเวลาในการ ส่งไปตรวจสอบที่ประเทศญี่ปุ่น คาดว่าใช้เงินลงทุน 5 ล้านบาท และบริษัทมีแผนที่จะจัดตั้งหน่วยงานวิจัยและออกแบบผลิตภัณฑ์
สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 814 ล้านบาท กำไรสุทธิ 17 ล้านบาท ในปี 2545 เพิ่มเป็น 1,307 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 109 ล้านบาท ในปี 2546 และเพิ่มเป็น 1,719 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 241 ล้านบาท ในปี 2547 และมีกำไรสุทธิ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลอัตราไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิ โดยบริษัทมีทรัพย์สินรวม 1,086 ล้านบาท หนี้สินรวมทั้งสิ้น 594 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 492 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตสายควบคุมรถยนต์ประมาณ 6 ล้านเส้นต่อปี สายควบคุมรถจักรยานยนต์ประมาณ 15 ล้านเส้นต่อปี และชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่างรถยนต์ประมาณ 1.5 ล้านชุดต่อปี ณ วันที่ 28 ก.พ. 2548 ซึ่งบริษัทได้ลงทุนในบริษัท ไฮเล็กซ์ เวียดนาม จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตสายควบคุมรถยนต์จำหน่ายให้กับบริษัทผลิตรถจักรยานยนต์ในประเทศเวียดนาม โดยถือหุ้น 9% ที่เหลือถือโดยบริษัทนิปปอน เคเบิล ซิสเต็ม อิงค์ 91% โดยมีกำลังการผลิต 4.8 ล้านเส้นต่อปี


