กสิกรไทยเปิดแนวรุกดันนวัตกรรมบริการจัดการด้านการเงินครบวงจร เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็วให้กับลูกค้า พุ่งเป้าให้เป็นจุดรวมของธุรกรรมการจัดการด้านการเงินครบวงจรธุรกิจลูกค้า ตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาทเพิ่ม 20% และหวังครองแชมป์ Best Cash Management Bank ในอีกสมัย
นายธีระนันท์ ศรีหงส์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารจะหันมารุกบริการจัดการด้านการเงิน (Cash Management) มากขึ้น เนื่องจากเป็นบริการที่มีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า ในปีนี้ธนาคารจะมีรายได้จากบริการดังกล่าวประมาณ 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ซึ่งจะมีการเสนอบริการใหม่ๆ เพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุด
ธนาคาร ได้พัฒนาบริการจัดการด้านเงินมากขึ้นทั้งในแง่กระบวนการบริหารจัดการเงินสด เช็ค และระบบอิเล็คทรอนิกส์ล้ำสมัย ที่จะเข้ามาเพิ่มประสิทธิผลการจัดเก็บข้อมูลในระบบจำนวนมากให้กับลูกค้าของธนาคาร และเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าในการใช้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร ก็จะมีการพัฒนาบริการจัดการด้านการเงินของธนาคารจะพัฒนาคู่ไปกับบริการอื่นๆ เช่น บริการเพื่อธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และบริการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน โดยคาดว่าในปีนี้ธนาคารน่าจะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ประมาณ 14-15%
จากการที่ธนาคารมีการนำเสนอบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยอมรับจากนิตยสาร The Asset ซึ่งเป็นนิตยสารด้าน Cash Management ที่โดดเด่นในวงการไฟแนนซ์แห่งภูมิภาคเอเซีย ได้ยกย่องให้ธนาคารกสิกรไทยเป็น Best Cash Management Bank ในปีนี้
นายวีระชัย อมรรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการจัดการด้านการเงิน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นที่เราต้องการพัฒนาด้านการเรียกเก็บเงินและรับชำระเงิน (Collection) เพราะธนาคารตั้งเป้าเป็น Best Collection ด้วย จึงเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน Collection ในปีนี้ โดยนอกจากบริการ Cheque Collection หรือ Bill Payment แล้ว ธนาคารได้เริ่มนำระบบการบริหารลูกหนี้ครบวงจร หรือ Total Account Receivables Management เข้ามาใช้บริหารบัญชีลูกหนี้ (Account Receivable) แทนลูกค้า ซึ่งจะทำให้ลดขั้นตอนการทำงานด้านลูกหนี้ค้างรับ และสามารถมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจหลักของบริษัท เพียงลูกค้าบริษัทนำส่งข้อมูลบัญชีลูกหนี้ พร้อมเอกสารการรับชำระเงิน เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบคืนของ (Credit Note) ใบหักของ (Debit Note) เช็คหรือใบรับเงินสด ธนาคารก็จะทำธุรกรรมข้อมูลเหล่านั้นมาให้สมดุลหรือ Reconcile กับบัญชีลูกหนี้ให้ และส่งเช็คเรียกเก็บ รายงานผลเรียกเก็บ และส่งไฟล์ข้อมูลกลับไปให้บริษัทลูกค้า ซึ่งลูกค้าก็สามารถนำเข้าระบบ Enterprise Resource Planning หรือ EPR ได้เลย
บริการ “e-invoice” เป็นอีกหนึ่งบริการใหม่ ซึ่งลูกค้าบริษัทเพียงนำส่งข้อมูลมาให้ธนาคาร จัดทำเป็นใบแจ้งหนี้เสมือนจริงขึ้นบนระบบ ลูกค้าของบริษัทหรือดีลเลอร์ของลูกค้าจึงสามารถเข้าอินเตอร์เน็ตมาดูว่ามี ใบแจ้งหนี้ใบใดครบกำหนดชำระบ้าง และสามารถชำระได้ทันที โดยระบบจะตัดเงินจากบัญชีลูกค้าและนำเข้าบัญชีของบริษัทแบบ Real Time Online ทำให้บริษัทจะได้รับเงินจากดีลเลอร์หรือลูกค้าพร้อมข้อมูลในทันที ซึ่งช่วยลดยอดหนี้ได้เร็วขึ้น อาทิ ปูนซิเมนต์ไทยซึ่งเป็นลูกค้าหลักที่ใช้บริการนี้ เพราะมีดีลเลอร์อยู่จำนวนมาก ทำให้ปูนซิเมนต์ไทยลดภาระเรื่องการชำระเงินจากลูกค้าไปได้อย่างมาก นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยกำลังต่อยอดพัฒนาบริการไปให้ถึงขั้น Dealer Finance ต่อไป
ธนาคารยังได้พัฒนา บริการการแจ้งผลเช็คคืน (Return Cheque Notification) ผ่านทาง SMS สำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป และแจ้งผลเช็คคืนผ่านช่องทาง Fax และ email สำหรับลูกค้าธุรกิจ ผู้ที่สมัครใช้บริการนี้ จะทราบผลเช็คคืนที่เวลาประมาณเที่ยงวันของทุกวันทำการ โดยไม่ต้องรอมาสอบถามหรือรอให้สาขาโทรไปแจ้ง อันจะสามารถควบคุมการหมุนเวียนเงินเข้าอย่างเป็นระบบและรวดเร็วในแต่ละวัน ซึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกในเมืองไทยที่พัฒนากระบวนการจนสำเร็จ และยังพัฒนาการสมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติหรือ Direct Debit ทางตู้ ATM ทำให้ลดระยะเวลาและขั้นตอนในการอนุมัติ
นอกจากนี้ฝ่ายบริการจัดการด้านเงินยังได้การเปิดตัวบริการ “Sure Pay” ในงาน Money Expo 2005 เพื่อให้ลูกค้ารายย่อยมีทางเลือกด้านช่องทางการชำระเงินจากบริการต่างๆ ผ่านธุรกรรมกับธนาคารอย่างหลากหลายขึ้น