พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ พิสูจน์ฝีมือแจ้งเกิดบนถนนธุรกิจทาวน์เฮ้าส์แบบน่าจับตา นำความโดดเด่นด้วย 3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย คุณภาพ ทำเล และบริการเสริมทั้งก่อน และหลังการขายอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมมีบริการบริหารโครงการในตัว ตั้งเป้าครึ่งปีหลังเปิดตัวเพิ่มอีก 3 โครงการบนทำเลทองของกรุงเทพฯ ประเดิมด้วยโครงการพลัส ซิตี้พาร์ค พระราม 9-หัวหมาก, โครงการพลัส ซิตี้พาร์ค สุขุมวิท 101/1 และโครงการพลัส ซิตี้พาร์ค เอกมัย-รามอินทรา ภายใต้แนวคิด Gated Community Townhouse แวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคระดับหรู และเส้นทางคมนาคมที่สะดวกสบาย
ตั้งแต่ปลายปี 2547 เป็นต้นมา พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ได้ทำการเปิดตัวโครงการในรูปแบบทาวน์เฮ้าส์ภายใต้ แบรนด์ “พลัส ซิตี้พาร์ค” โดยได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ คือ พลัส ซิตี้พาร์ค เกษตร-นวมินทร์ (ปลายปี 2547) และ พลัส ซิตี้พาร์ค ลาดพร้าว 71 (ต้นปี 2548) ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่เปิดขายโครงการไปไม่นานก็สามารถสร้างยอดขายได้ดีเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งความคืบหน้าด้านการขายโครงการทั้ง 2 โครงการนั้น นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด บริษัทผู้นำด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยแบบครบวงจร เปิดเผยว่า “โครงการพลัส ซิตี้พาร์ค เกษตร-นวมินทร์ เหลืออีกเพียง 7 ยูนิต เท่านั้น จากทั้งหมด 97 ยูนิต ส่วนพลัส ซิตี้พาร์ค ลาดพร้าว 71 เฟสแรก ได้ปิดการขายไปแล้ว เฟส 2 ที่เพิ่งเริ่มเปิดขายไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา และสามารถขายได้แล้วกว่า 60% ตัวเลขนี้ตอกย้ำให้เราเชื่อมั่นในมุมมอง และทิศทางการพัฒนาธุรกิจของตนเองมากยิ่งขึ้น ความเชื่อมั่นดังกล่าวทำให้พลัสมั่นใจว่าในปี 2548 นี้ พลัสจะสามารถก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านตลาดทาวน์เฮ้าส์คุณภาพของไทยอย่างแน่นอน ”
นายเมธา เผยถึงการสร้างแบรนด์ พลัส ซิตี้พาร์ค ว่า ““พลัสมุ่งมั่นที่จะสร้างให้แบรนด์ พลัส ซิตี้พาร์ค ให้เป็นแบรนด์สำหรับทาวน์เฮ้าส์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง ซึ่งเราก็ใช้เวลาแค่เพียงครึ่งปีในการสร้างให้แบรนด์ “พลัส ซิตี้พาร์ค” ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของกลุ่มลูกค้า โดยสิ่งสำคัญที่สุดที่เรามุ่งมั่น คือ ตัวสินค้าและบริการระดับคุณภาพที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้เรายังใช้กลยุทธ์การโฆษณาประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการขาย โดยร่วมกับพันธมิตรชั้นนำร่วมมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้แก่ลูกค้า รวมทั้งการคิดสร้างสรรค์และมอบบริการให้แก่ลูกค้าในสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง อาทิ บริการ Plus Fast Fix ที่พร้อมให้ลูกค้าอุ่นใจกับบริการซ่อมเร่งด่วนในช่วง 1 ปีแรกของการอยู่อาศัย บริการ Plus Concierge บริการผู้ช่วยส่วนตัว โดยเราผนึกกำลังกับกลุ่มพันธมิตรในการมอบสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่าแก่ลูกบ้านของเรา เพื่อให้ทุกชีวิตมีความสุขในการอยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรเข้าร่วมโครงการกว่า 12 ราย อาทิ ร้านกาแฟโซเวนเต้, วิลล่า มาร์เก็ต, Auto Gym เป็นต้น นอกจากนี้ เรายังจัดกิจกรรมกับชุมชนในละแวกใกล้เคียงซึ่งเราจะคงพัฒนาและขยายบริการออกไปอย่างต่อเนื่อง”
เกี่ยวกับภาพรวมตลาดทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ นั้น นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส แสดงความคิดเห็นว่า “ผมเชื่อว่าตลาดทาวน์เฮ้าส์จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเติบโตขึ้นมากส่งผลให้เกิดการแข่งขันมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผู้ประกอบการต่างต้องผลักดันและพัฒนาคุณภาพของทาวน์เฮ้าส์ให้ดียิ่งขึ้นด้วย ส่วนปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นนั้น ผมมองถึงความต้องการด้านทำเลเป็นหลัก ผู้บริโภคต้องการอยู่ในทำเลที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่เป็นเมือง เพราะคำนึงถึงการเดินทางที่สะดวก และที่สำคัญคือ ต้องการพื้นที่ใช้สอยมาก ส่วนปัจจัยเสริม คือ การตั้งราคาขายที่เหตุสมผล และมีบริการเสริมที่มีคุณภาพสามารถอำนวยความสะดวกกับชีวิตลูกบ้าน ซึ่งในปัจจุบันพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ก็พยายามที่จะพัฒนาคุณภาพโครงการและบริการให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุดเช่นกัน
หากมองไปถึงว่าเหตุผลในการที่พลัสได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะเขาเชื่อและยอมรับว่าการซื้อโครงการของเรานั้น เขาจะได้มากกว่าทาวน์เฮ้าส์ และสิ่งที่เขาจะได้เพิ่มไปอีกคือ การมีคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่าแบบเห็นได้ชัด เพราะเราเน้นในการสร้างชุมชนที่มีคุณภาพ ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่จะขายโครงการ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้แบรนด์พลัส ซิตี้พาร์คเป็นที่ยอมรับในเวลารวดเร็ว และสร้างความภูมิใจและกำลังใจในการทำงานให้กับทีมงานได้มากยิ่งขึ้น เพราะมันพิสูจน์ได้ว่าซึ่งแม้ว่าพลัสจะเริ่มเข้ามาพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์เพียงไม่นานนัก แต่เราก็มีส่วนในการยกระดับมาตรฐานทาวน์เฮ้าส์ในเมืองไทยให้สูงขึ้นได้ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราทำธุรกิจบริหารโครงการมาก่อนทำให้เราสามารถรับรู้ได้ถึงความต้องการของลูกบ้านได้อย่างแท้จริง จากความสำเร็จนี้ ส่งผลให้เราขยายการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นทางเลือกใหม่ของกลุ่มคนอย่างต่อเนื่องในทุกทำเลภายใต้คุณภาพเดียวกัน โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2548 นั้นเราวางแผนจะเปิดตัว 3 ทำเลทองประกอบด้วย พระราม 9-หัวหมาก, สุขุมวิท 101/1 และ เอกมัย-รามอินทรา รวมมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 517 ยูนิต โดยจะประเดิมด้วยการเปิดขายโครงการพลัส ซิตี้พาร์ค พระราม 9 หัวหมาก เป็นโครงการแรก”
ทาวน์เฮ้าส์โครงการพลัส ซิตี้พาร์ค พระราม 9–หัวหมาก เป็นทาวน์เฮ้าส์โครงการที่ 3 ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์พัฒนาขึ้นภายใต้แบรนด์ของพลัส ซิตี้พาร์ค ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับทาวน์เฮ้าส์คุณภาพสูงโดยเฉพาะ โดยจุดเด่นที่สุดของโครงการนี้ คือ ความได้เปรียบด้านทำเล เพราะถือเป็นทำเลทองแห่งใหม่ล่าสุดของกรุงเทพฯ เนื่องจากว่าเป็นเส้นทางตัดใหม่คือ ถนนทางหลวงสายเชื่อมระหว่างถนนพัฒนาการกับศรีนครินทร์ และรามคำแหง ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเดินทางออกนอกเมืองทางฝั่งด้านตะวันออกได้ทันที โดยโครงการนี้มีมูลค่าโครงการประมาณ 718 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์สไตล์ยูโรเปียน โคโรเนียล จำนวนทั้งสิ้น 162 หลัง พื้นที่โครงการ 15 ไร่ 3 งาน 73 ตร.ว. โดยเป็นทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น 5 ระดับ หน้ากว้าง 5 เมตร ขนาดที่ดินประมาณ 21 – 45 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 170 ตารางเมตร ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ห้องพักผ่อน 1 pantry ที่จอดรถ 2 คัน ด้วยราคาเริ่มต้น 4.19 ล้านบาท
นายเมธา กล่าวถึงโครงการ พลัส ซิตี้พาร์ค พระราม 9-หัวหมาก ว่า “โครงการ พลัส ซิตี้พาร์ค พระราม9-หัวหมากนี้ ถือทำเลทองล่าสุดของพลัส เพราะตั้งยู่บนถนนที่สามารถเดินทางไปมาได้สะดวก ภายในโครงการเงียบสงบมีความเป็นส่วนตัวสูง และแวดล้อมไปด้วยสังคมคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ม.อัสสัมชัญ (ABAC), ม.รามคำแหง, ม.เกษมบัณฑิต, โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์, โรงเรียนสาธิต รามฯ เป็นต้น นอกจากนี้เรายังได้วางระบบไฟฟ้าใต้ดินทำให้โครงการมีทัศนียภาพโดยรอบที่สวยงาม เราจึงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้ภายในปีนี้ โดยจะเริ่มเปิด pre-sale อย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ศกนี้ ซึ่ง ณ ขณะนี้มีผู้แสดงความสนใจและโทรเข้ามาสอบถามรายละเอียดมากกว่า 200 รายแล้ว ” ประธานอำนวยการ กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด ผู้นำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของไทย ทุนจดทะเบียนบริษัท 600 ล้านบาท ให้บริการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, บริหารงานขายโครงการ, ให้คำปรึกษาเรื่องการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, การบริหารอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัยและการเป็นตัวแทนนายหน้าด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนา ทั้งสิ้น 14 โครงการ และโครงการที่รับบริหาร (Property Management) รวม 85 โครงการ ซึ่งถือเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทยในปัจจุบัน