พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ชี้ตลาดบริหารโครงการมีแนวโน้มโตอย่างต่อเนื่องด้วยแรงหนุนจากแผนการบริหารต้นทุนอย่างมีศักยภาพของภาครัฐและภาคเอกชน ย้ำตลาดควรหันมาว่าจ้างมืออาชีพที่มีประสบการณ์และทักษะตลอดจนระบบการให้บริการที่ได้มาตรฐาน ในการให้บริการบริหารอาคาร เพื่อลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการว่าจ้างพนักงานเอง เผยตลาดโตขึ้นยอดโครงการที่รับบริหารเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดได้ไทปิง, ชัยพฤกษ์ และเออร์บาน่าเป็นลูกค้าเพิ่ม คาดปลายปีมีครบ 100 โครงการแน่นอน
นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด ผู้นำด้านธุรกิจบริหารโครงการอันดับหนึ่งของเมืองไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันเป็นที่ทราบดีว่าหลายฝ่ายต่างให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนในการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด อันมีสาเหตุมาจากภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวม ในส่วนของงานด้านบริหารโครงการก็เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันตลาดในเมืองไทยถือว่าเติบโตขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และมีแนวโน้มจะเติบโตอีกอย่างต่อเนื่อง สาเหตุเพราะกลุ่มลูกค้าเริ่มที่จะเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการว่าจ้างบริษัทในแบบมืออาชีพเข้ามาให้บริการด้วยทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์ มีระบบการบริหารและให้บริการที่ดี และที่สำคัญที่สุดคือประโยชน์ที่ได้รับนั้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในแต่ละเดือน ไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทีมงานประจำ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการวางระบบการบริหารซึ่งใช้เวลานานกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน
นอกจากนี้ การสร้างสรรค์บริการเสริมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของผู้อยู่อาศัยภายในอาคารนั้น ยังเป็นปัจจัยหลักในการเลือกใช้บริการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ ถือเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการให้บริการในส่วนนี้ จากการเปิดตัวบริการผู้ช่วยส่วนตัว หรือ Plus Concierge พบว่ามีกลุ่มลูกค้าหันมาใช้บริการเสริมในส่วนนี้เป็นที่น่าพอใจ และถือเป็นจุดเด่นที่สร้างความแตกต่างระหว่างพลัสและคู่แข่งในตลาดการบริหารโครงการด้วย
“ผมเชื่อว่าตลาดบริหารโครงการจะโตขึ้นอีกมาก เพราะตลาดเริ่มรู้แล้วถึงความคุ้มค่าในการว่าจ้างบริษัทผู้ชำนาญการเข้ามาบริหาร ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบริษัทหน้าใหม่เข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มมากขึ้น นี่ ยิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าภาพรวมตลาดเริ่มดีขึ้น ดังนั้นในฐานะเบอร์หนึ่งของธุรกิจบริหารโครงการของไทย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จึงได้เสริมความแกร่งในเรื่องบริการทั้งด้านทีมงานและระบบในการให้บริการอย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ทุกส่วนต้องบริหารค่าใช้จ่ายของต้นทุนอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุดังกล่าวเราจึงพัฒนาบริการและวางแผนในการช่วยบริหารต้นทุนเบื้องต้น ทั้งค่าน้ำค่าไฟ เสริมด้วยสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสบายและผ่อนคลายในการอยู่อาศัย”
“ผมเชื่อมั่นว่าการบริหารและการจัดการอาคารที่ดีของพลัส จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่เรารับบริหารอยู่ ดังนั้นจึงอยากแนะนำเจ้าของอาคารและกรรมการนิติบุคคล ให้พิจารณาเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ มีความน่าเชื่อถือ และมีความรับผิดชอบมาดูแลโครงการแทนท่าน เพราะการจ้างบริหารอาคารแต่ละครั้ง มีระยะเวลาในสัญญาอย่างน้อย 1 ปี ถ้าตัดสินใจเลือกบริษัทโดยดูจากราคาค่าบริหารที่ต่ำกว่าเพียงอย่างเดียว ท่านอาจจะไม่ได้รับการบริการที่มีคุณภาพเท่าที่ควร”
ทั้งนี้ จากการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของธุรกิจบริหารโครงการของไทย ส่งผลให้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ วางกลยุทธ์ในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างมีศักยภาพ “ในฐานะเจ้าตลาดบริหารโครงการ พลัสวางแผนที่จะสานต่อการกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายรับทราบ และตระหนักถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการเลือกใช้บริษัทให้บริการด้านธุรกิจบริหารโครงการ โดยพลัสจะนำเสนอข้อมูลผ่านสื่อในลักษณะบทความพิเศษ ตลอดจนการให้ข้อมูล ผ่านงานสัมมนาต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีศักยภาพ และเราจะยังคงสานต่อกลยุทธ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และที่ถือเป็นจุดเด่นในการให้บริการของเรา คือ การเป็นจ้าวแห่งนวัตกรรมทั้งงานด้านระบบวิศวกรรมและการบริการ ซึ่งพบว่าเมื่อพลัสเข้าไปช่วยบริหารโครงการก็สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางไปได้มาก
นอกจากนี้ พลัสยังได้พัฒนาเว็บไซต์ www.pluspms.com เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในโครงการที่พลัสบริหารอยู่สามารถเข้าไปตรวจดูค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าส่วนกลาง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านได้อย่างเต็มที่ และเรายังมีระบบการบริการในรูปแบบใหม่ที่จะนำมาให้บริการเพื่อเสริมการบริการที่แข็งแกร่งอย่างมีศักยภาพซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบอยู่ในปัจจุบัน ส่วนเรื่องบริการเสริมเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและความสะดวกสบายแก่กลุ่มลูกค้าของเรานั้น เราได้สร้างสรรค์บริการ Plus Concierge หรือบริการผู้ช่วยส่วนตัวขึ้นมา ซึ่งถือเป็นการพัฒนาสูงสุดของธุรกิจบริหารโครงการในปัจจุบันก็ว่าได้ เพราะการที่จะเปิดให้บริการผ่านผู้ช่วยส่วนตัวแบบเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องอาศัยศักยภาพในหลากหลายส่วนทั้งด้านความเชื่อมั่นในกลุ่มพันธมิตร การวางระบบการให้บริการที่ดี ความพรั่งพร้อมของทีมงานอย่างมีศักยภาพ ซึ่งเป็นเรื่องยากในการที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จในเวลาอันสั้น จุดนี้เองจึงถือเป็นปัจจัยหลักในการเลือกใช้บริการของเราต่อกลุ่มเป้าหมาย
ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินงาน ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ พลัสจะมุ่งบุกอาคาร, สำนักงานมากยิ่งขึ้น เพราะว่าเป็นตลาดที่ท้าทาย และสามารถแสดงประสิทธิภาพการทำงานของพลัสได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสามารถแสดงศักยภาพในการดูแลระบบงานวิศวกรรมได้ด้วย ที่เรามั่นใจมากเช่นนี้ เพราะเรามีทีมงานที่ดีที่สุด และมีระบบการบริหารงานที่ดีที่สุดแล้วในตลาด โดยอาคารเด่นๆ ที่เรารับบริหารอยู่ขณะนี้ อาทิ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, กระทรวงการต่างประเทศ, อาคารวันแปซิฟิค, ทูแปซิฟิค และนายเลิศ, หมู่บ้านเอเชี่ยนเกมส์ธรรมศาสตร์, อาคารเจมส์ ทาวน์เวอร์, สามัคคีประกันภัย, กรุงเทพประกันภัย, ซอฟต์แวร์พาร์ค ส่วนด้านที่พักอาศัย อาทิ สาธร เฮ้าส์, บ้านกลางกรุง ทองหล่อ, โนเบิล เฮ้าส์ พญาไท เป็นต้น ผมมั่นใจว่าถึงสิ้นปีจะโครงการที่พลัสบริหารถึง 100 โครงการอย่างแน่นอน”
ปัจจุบัน พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง “ระยะเวลที่ผ่านมาเพียง ครึ่งปี พลัสได้โครงการเข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นอีก 10 โครงการ อาทิ เออร์บาน่า สุขุมวิท 15, บ้านราชดำริ, ไทปิง ทาวเวอร์ส ,สายลมซิตี้ รีสอร์ท, ลาเมซอง ร่วมฤดี, ชัยพฤกษ์ –ติวานนท์, พลัส 67, 49 พลัส, ร้านอาหาร Lenotre เป็นต้น พลัสวางแผนจะเข้าบริหารโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกประมาณ 10 โครงการ ซึ่งหากเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ในปี 2548 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จะมีรายได้จากธุรกิจบริหารโครงการประมาณ 150 ล้านบาท ” ประธานอำนวยการ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ กล่าวสรุป
บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด
ผู้นำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรของไทย ทุนจดทะเบียน (ชำระแล้ว) 600 ล้านบาท ให้บริการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, บริหารงานขายโครงการอสังหาริมทรัพย์, ให้คำปรึกษาเรื่องการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, การบริหารอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย และให้บริการเป็นตัวแทนนายหน้าด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาเองทั้งสิ้น 14 โครงการ และโครงการที่รับบริหาร (Property Management) รวมกว่า 90 โครงการ ซึ่งถือเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทยในปัจจุบัน