ลลิล โชว์ศักยภาพอันแข็งแกร่งประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ไตรมาสที่ 2โต 21%

10 สิงหาคม 2548 – ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2548 มียอดรับรู้รายได้จากการขายกว่า 1,305 ล้านบาท กำไรสุทธิรวม 334 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.41 บาท ยอดขายเติบโต 15 % ในขณะที่กำไรสุทธิโต 18 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยไตรมาสแรกมียอดรับรู้รายได้ 593 ล้านบาท กำไรสุทธิ 149.2 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท และไตรมาสที่ 2 มียอดรับรู้รายได้อีก 717 ล้านบาท กำไรสุทธิ 185 ล้านบาท หรือ กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท คิดเป็นอัตราเจริญเติบโต 21 % เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรก พร้อมกับการยกระดับการเป็นบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 6 % ++ ของผลตอบแทนต่อราคาหุ้นในปัจจุบัน

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ถึงแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งได้รับปัจจัยกระทบจากปัญหาทางด้านราคาน้ำมัน เศรษฐกิจที่ขยายตัวลดลง บวกกับผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย หรือตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ในระยะเวลาที่นานขึ้น แต่ก็ยังมองว่า ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังคงเติบโตในอัตรา 10-15% โดยตัวเลขที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2548 ที่อยู่ในอาศัยจดทะเบียนเพิ่มในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีจำนวน 27,220 หน่วย ในจำนวนนี้ เป็นบ้านจากโครงการจัดสรรแนวราบมีจำนวน 14,848 หน่วย เติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ แรงกดดันทั้งด้านกำลังซื้อและความต้องการในตลาดที่ลดลง และต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจที่อยู่อาศัยเผชิญความยากลำบากมากขึ้น ในการวางกลยุทธเกี่ยวกับคุณสมบัติของสินค้าและกลุ่มเป้าหมายลูกค้าให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในปัจจุบัน เช่น รูปแบบบ้าน ขนาดบ้าน ราคา ทำเลที่ตั้ง วัสดุก่อสร้างที่นำมาใช้ ที่จะทำให้บ้านที่เสนอขายเหมาะสมกับความสามารถในการซื้อของผู้บริโภค ดังนั้น ด้านภาคธุรกิจต่าง ๆ อันรวมถึงอสังหาฯ แล้วน่าจะปรับองค์กรในลักษณะตอบรับกับภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และคาดว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์คงดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

ด้าน ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ แล้วได้มีการกำหนดแผนกลยุทธ์และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจแล้ว ผนวกกับความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์อันยาวนานในการทำตลาดบ้านระดับกลาง อันเป็นความต้องการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงนั้น จึงเชื่อว่า ด้วยความชำนาญ ความแข็งแกร่ง ความมั่นคงและกลยุทธ์ที่เหมาะสมของบริษัทในการกำหนดรูปแบบสินค้าได้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและสามารถแข่งขันได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังเดินหน้าธุรกิจได้เป็นอย่างดีเเละได้ประกอบกิจกรรมสำเร็จตามที่ได้ตั้งไว้ โดยการเปิดโครงการใหม่อีก 3 โครงการมูลค่ารวม 3.25 พันล้านบาทในไตรมาสเเรกเเละไตรมาสที่สาม ตามแผนงานที่บริษัทวางไว้ตั้งแต่ต้นปี ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.โครงการบุรีรมย์ วงแหวน -ปิ่นเกล้า 1,300.- ล้านบาท ไตรมาส 1
2.โครงการบุรีรมย์ พระราม2 – เอกชัย 1,250.- ล้านบาท ”
3.โครงการบ้านบุรีรมย์ ศรีนครินทร์-วงแหวนฯ-สุวรรณภูมิ-เทพารักษ์ 700.- ล้านบาท ไตรมาส 3

ดังนั้น ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการรวมทั้งสิ้น 18 โครงการใน 5 โซนรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล เปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกซื้อบ้านในทำเลที่ถูกใจมากขึ้น และยังคงตอกย้ำความคุ้มค่าให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อบ้านด้วยราคาที่สมเหตุสมผลในทำเลที่ดีด้วยเช่นเดิม