สายการบินเอมิเรตส์ สายการบินนานาชาติประจำดูไบ ประกาศผลกำไรสุทธิกว่า 251 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10,291 ล้านบาทสำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีการงบประมาณ 2548-2549 นับจากวันที่ 1 เมษายนถึง 30 กันยายน 2548
สายการบินเอมิเรตส์มีกำไรเพิ่มขึ้นถึง 7 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมจำนวน 236 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการที่เติบโตขึ้นเนื่องจากจำนวนของผู้โดยสารที่มากขึ้นและความต้องการด้านขนส่งสินค้าทางอากาศที่เพิ่มขึ้น สองสิ่งนี้นับเป็นการช่วยบรรเทาการได้รับผลกระทบจากน้ำมันเชื้อเพลิงราคาสูง
ชี้ค อาเหม็ด บิน ซาอิด อัล มัคตุม ประธานสายการบินเอมิเรตส์ กล่าวว่า “สายการบินเอมิเรตส์ได้แสดงผลงานอย่างยอดเยี่ยมในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งสูงถึง 84 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงหกเดือนแรกของปีงบประมาณที่แล้ว ผลประกอบการครึ่งปีที่ดีเยี่ยมนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้ที่มั่นคง นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเอมิเรตส์ในการปรับตัวรับกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจสายการบินในปัจจุบัน”
สำหรับสายการบินเอมิเรตส์นั้น ค่าใช้จ่ายของน้ำมันเชื้อเพลิงในปีนี้คิดเป็นสัดส่วน 27 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 19 เปอร์เซ็นต์ของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการรักษาเป้าหมายในการดำเนินการ สายการบินเอมิเรตส์จึงใช้มาตราการควบคุมค่าใช้จ่ายและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม เอมิเรตส์มีความจำเป็นต้องเพิ่มค่า
เซอร์ชาร์จน้ำมันหน้าตั๋วเช่นเดียวกับสายการบินอื่นๆ ซึ่งก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้
ชี้ค อาเหม็ด กล่าวเสริมว่า แม้ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงราคาสูงนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ แต่สายการบินเอมิเรสต์ยังมีความเชื่อมั่นในอนาคตของอุตสาหกรรมการคมนาคมและขนส่งทางอากาศ
“สายการบินเอมิเรตส์ยังคงจะดำเนินการขยายธุรกิจต่อไป ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถและเปิดบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางทางอากาศของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้เรายังทำการลงทุนด้านเทคโนโลยีอันล้ำหน้าเพื่อรองรับจำนวนเครื่องบินของเราที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงศูนย์ทดสอบเครื่องยนต์ของเครื่องบินเจ็ทและศูนย์วิศวกรรมแห่งใหม่ซึ่งเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว จะเป็นหนึ่งในศูนย์ซ่อมบำรุงการบินพลเรือนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก”
ชี้ค อาเหม็ด กล่าวสรุปว่า “ความสามารถในการทำกำไรของสายการบินเอมิเรตส์จะทำให้เราสามารถทำการลงทุนใหญ่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันและความมั่นคงในอนาคต เรายังมุ่งมั่นในการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า เสาะหาโอกาสเพื่อสร้างรายได้ในตลาดที่มีศักยภาพสูง เพิ่มผลิตภัณฑ์และริเริ่มสิ่งใหม่ๆเพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา”
สายการบินเอมิเรตส์มีผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 2.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการเติบโตของรายได้ถึง 28 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรายได้ช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมาจำนวน 2.22 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนอัตราการบรรทุกผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 2.6 จุดเป็น 76 เปอร์เซ็นต์ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา และจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์เป็นจำนวน 6.98 ล้านคนจากจำนวน 6.05 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2547-2548 นอกจากนี้ จำนวนที่นั่งโดยสาร* ได้เพิ่มขึ้น 16 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ส่วนผลประกอบการของ เอมิเรตส์ สกายคาร์โก้ มีการเติบโตถึง 33 เปอร์เซ็นต์หรือมีรายได้ประมาณ 2.1 พันล้านดีแรห์ม ด้วยปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์เป็นจำนวนถึง 482,643 ตัน โดยเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันนี้ในปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 404,305 ตัน ปัจจุบันเอมิเรตส์ให้บริการเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยเครื่องบินทั้งหมด 7 ลำ คือ เครื่องบินโบอิ้ง 747 จำนวน 6 ลำและเครื่องบินแอร์บัส A310-300 อีก 1 ลำ
สภาพคล่องของสายการบินเอมิเรตส์ (ซึ่งรวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุน) ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 คือ 2.55 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน 2.06 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงหกเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวได้หักจากการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ลงทุนจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีเงินทุนไหลออกโดยประมาณ 333 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการจ่ายมัดจำค่าเครื่องบินและการลงทุนหลักอื่นๆ สายการบินเอมิเรตส์ประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุนจำนวน 550 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาดังกล่าวจากการเปิดขายพันธบัตรซูคุค (Sukuk) ซึ่งเป็นพันธบัตรอิสลามที่ออกในเดือนมิถุนายน 2548
ด้วยการที่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและเป็นอิสระ ปัจจุบัน สายการบินเอมิเรตส์เป็นหนึ่งในสายการบินที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีผลกำไรมากที่สุดของโลก
นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2548 เป็นต้นมา สายการบินเอมิเรตส์เปิดให้บริการเที่ยวบินใหม่สู่ซีเชลส์ และอเล็กซานเดรีย รวมถึงเพิ่มเที่ยวบินสู่ 20 จุดหมายปลายทางในเครือข่ายเส้นทางการบิน ปัจจุบันสายการบินเอมิเรตส์บินสู่ 77 เมืองใน 54 ประเทศ และวางแผนที่จะให้บริการสู่เมืองอบิดจัน ฮัมบรูก และปักกิ่งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ปัจจุบัน สายการบินเอมิเรตส์ให้บริการด้วยเครื่องบินโบอิ้งและเครื่องบินแอร์บัส ทั้งหมด 83 ลำ โดยมี เครื่องบินแอร์บัส A330-200 จำนวน 29 ลำ เครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER จำนวน 7 ลำ เครื่องโบอิ้ง 777-300 จำนวน 12 ลำ เครื่องโบอิ้ง 777-200 จำนวน 9 ลำ เครื่องแอร์บัส 340-500 จำนวน 10 ลำ เครื่อง A340-300 จำนวน 8 ลำ เครื่องแอร์บัส A310 จำนวน 1 ลำและเครื่องบินขนส่งสินค้าทางอากาศอีก 7 ลำ คือเครื่องโบอิ้ง 747F จำนวน 6 ลำ และเครื่องแอร์บัส A310F จำนวน 1 ลำ
การสั่งจองเครื่องบิน 90 ลำที่ประกอบด้วยเครื่องบินแอร์บัส A380-800 จำนวน 45 ลำ เครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER จำนวน 23 ลำ (ที่มี 9 ออพชั่นเพิ่มเติม), เครื่องบินแอร์บัส A340-600 ซึ่งเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะในการบรรทุกน้ำหนักสูง จำนวน 20 ลำและเครื่องบินแอร์บัส A310F อีก 2 ลำ มูลค่ารวม 27.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ สายการบินเอมิเรตส์คาดว่าจะเพิ่มจำนวนเครื่องบินเป็นอีกสองเท่าของจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันและจะสามารถให้บริการผู้โดยสารได้มากกว่า 33 ล้านคนต่อปี ภายในปี พ.ศ. 2555
หมายเหตุ *มาตราวัดจำนวนที่นั่งโดยสาร คือ ASKM (available seat kilometre) หรือ จำนวนที่นั่งต่อระยะ ทางกิโลเมตร คำนวณจากจำนวนที่นั่งคูณกับระยะทางการบิน