ครึ่งแรกปี’49 : คนไทยเที่ยวต่างประเทศ…เงินรั่วไหล 5.5 หมื่นล้านบาท

การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศของคนไทยในปี 2548 มีแนวโน้มเติบโตสวนกระแสสึนามิ ด้วยแรงหนุนของหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะการที่หลายประเทศใช้วิกฤตสึนามิเป็นโอกาสในการจัดแพ็กเกจราคาถูกพิเศษดึงส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไปจากไทย รวมทั้งนักท่องเที่ยวคนไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายหลักของแทบทุกประเทศ เพราะนักท่องเที่ยวคนไทยมีการใช้จ่ายเงินระดับสูงในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าของที่ระลึกและสินค้าแบรนด์นอก

สถิติคนไทยเดินทางไปต่างประเทศของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 มีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 2.24 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปี 2547 ช่วงเดียวกัน เมื่อประกอบกับกระแสการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 ที่ยังคงมาแรง โดยเฉพาะการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ในภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่า โดยรวมตลอดทั้งปี 2548 จะมีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.05 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปี 2547 และการใช้จ่ายในต่างประเทศของนักท่องเที่ยวคนไทย (ไม่รวมแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ) ทำให้มีเงินตรารั่วไหลออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 99,000 ล้านบาท

ตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องมาในช่วงไตรมาสแรกของปี 2549 ด้วยแรงเกื้อหนุนจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ดังนี้

– แพ็กเกจทัวร์ในประเทศบางเส้นทาง อาทิ ภูเก็ต ปรับราคาสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ซึ่งมีแคมเปญฟื้นฟูอันดามันจากวิกฤตสึนามิ จนมีราคาใกล้เคียงหรือต่ำกว่าแพ็กเกจทัวร์ต่างประเทศของบางประเทศไม่มากนัก อาทิ สิงคโปร์ และฮ่องกง

– หลายประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ขณะที่นักท่องเที่ยวคนไทยก็เป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายหลักของหลายประเทศในการเดินสายเข้ามาโรดโชว์ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมทั้งหลายประเทศในยุโรป อาทิ ออสเตรีย อังกฤษ และสวิตเซอร์แลนด์

– กระแสซีรี่ส์ละครทีวียอดฮิตของเกาหลีใต้หลายเรื่อง กระตุ้นให้ความนิยมแพ็กเกจทัวร์เกาหลีใต้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ต่อเนื่องมาถึงเทศกาลตรุษจีน

– เงินบาทที่มีค่าแข็งขึ้นเกื้อหนุนต่อการเติบโตของตลาดทัวร์ต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมที่ยืดเยื้อในเดือนมีนาคม และปัจจัยลบบางประการที่บั่นทอนการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นตามต้นทุนในส่วนน้ำมัน ส่งผลให้แต่ละประเทศต่างปรับราคาแพ็กเกจทัวร์ต่างประเทศสูงขึ้นจากปีที่แล้ว และหันมาแข่งขันในการพัฒนาสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวและการพัฒนาในด้านคุณภาพการให้บริการแทนการแข่งขันในด้านราคา ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากราคาสินค้าและบริการที่ปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้กำลังซื้อโดยรวมในระบบเศรษฐกิจถดถอยลง ประชาชนจึงประหยัดการใช้จ่ายในด้านต่างๆลงรวมทั้งการท่องเที่ยว ส่งผลให้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยชะลอการเดินทางไปต่างประเทศออกไป เพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549

จากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2549 จะมีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 750,000 คนเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปี 2548 ช่วงเดียวกันที่ขยายตัวในอัตราร้อยละ 13

สำหรับสถานการณ์การเดินทางไปต่างประเทศของคนไทยในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2549 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราสูงขึ้นจากช่วงไตรมาสแรก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองได้ผ่อนคลายลงระดับหนึ่ง จากการประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัยหน้าของรักษาการนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ส่งผลให้คนไทยที่ชะลอการเดินทางไปต่างประเทศในช่วงก่อนหน้าที่สถานการณ์ทางการเมืองยังตึงเครียด ต่างเริ่มทยอยเดินทางไปต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2549 นอกจากนี้ยังมีหลายปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนต่อการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของไทย ดังนี้

– เงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ในรอบ 6 ปีในช่วงเดือนเมษายน เกื้อหนุนต่อการเดินทางไปต่างประเทศ

– ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวของตลาดนักท่องเที่ยวคนไทย เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมของบุตรหลานและมีวันหยุดติดต่อกันหลายวันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวคนไทยโดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

– บรรดาบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศต่างจัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงวันหยุดสงกรานต์ เพื่อสร้างรายได้ชดเชยส่วนที่สูญเสียไปในช่วงไตรมาสแรกจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง

– ความร่วมมือของโรงแรมไทยตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีน อาทิ หนองคาย กับบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่ เพื่อให้บริการจัดกรุ๊ปทัวร์นำเที่ยวประเทศลาว ดึงดูดคนไทยเดินทางไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ รวมทั้งเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีคนไทยจำนวนมากเดินทางข้ามไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ และมีบางส่วนเดินทางต่อไปยังเขื่อนน้ำงึม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งในประเทศลาวที่นักท่องเที่ยวคนไทยนิยมไปเที่ยว

– ตลาดเรียนภาษาในหลักสูตรระยะสั้นกับเจ้าของภาษาในต่างประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยนอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ในปัจจุบันภาษาจีนกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นตามลำดับ ทั้งในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และนักธุรกิจที่สนใจเข้าไปติดต่อธุรกิจการค้าและการลงทุนในจีน

– ความร่วมมือของพันธมิตรทางธุรกิจกระตุ้นการขยายตัวของตลาดทัวร์ต่างประเทศให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการที่สถาบันการเงินสนับสนุนการผ่อนชำระค่าแพ็กเกจทัวร์ต่างประเทศผ่านบัตรเครดิต ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้นักท่องเที่ยวในปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย

ด้วยปัจจัยที่เกื้อหนุนดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้มีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นจำนวนมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ทำให้คาดว่าตลอดทั้งเดือนเมษายนจะมีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 400,000 คนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 จากปี 2548 ช่วงเดียวกันที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17

จากแนวโน้มตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศดังกล่าวข้างต้น บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จึงคาดการณ์ว่า โดยรวมแล้วในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2549 มีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 950,000 คนเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปี 2548 ช่วงเดียวกัน ทำให้โดยรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปี 2548 โดยมีคนไทยเดินทางไปต่างประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.7 ล้านคน และการใช้จ่ายในต่างประเทศของนักท่องเที่ยวคนไทย (ไม่รวมแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ) ก่อให้เกิดเงินตรารั่วไหลออกนอกประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 55,000 ล้านบาท

แหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวคนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ในเอเชีย ได้แก่ จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ลาว ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยมีคนไทยเดินทางไปเที่ยวในสัดส่วนสูงถึงกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนคนไทยทั้งหมดที่เดินทางไปต่างประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี 2549

ทั้งนี้ โดยมีเกาหลีใต้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นต้นมา ตามกระแสซีรี่ส์ละครทีวียอดฮิตของเกาหลีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัสกับฉากต่างๆในละคร

ขณะที่จีนและฮ่องกงยังคงครองความนิยมในตลาดเที่ยวต่างประเทศของไทยและมีแนวโน้มเติบโตในอัตราสูง จากการขยายเส้นทางบินตรงจากไทยไปยังเมืองสำคัญๆของจีน และความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวในจีน ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเที่ยวจีนที่ยังถูกกว่าหลายประเทศ รองลงมา คือ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และไต้หวัน ที่เติบโตในอัตราปานกลาง

ส่วนประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คือ ลาว ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมต่างๆคล้ายคลึงกับประเทศไทย และในเทศกาลต่างๆของไทยก็จะมีการจัดงานประเพณีต่างๆในลาวด้วยเช่นกัน อาทิ เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวคนไทยจำนวนมากเดินทางไปเที่ยวฉลองสงกรานต์ในประเทศลาว ขณะที่มาเลเซียมีคนไทยเดินทางไปเที่ยวลดลงตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดรายการนำเที่ยวมาเลเซียทางรถยนต์

สำหรับการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวระยะไกลในยุโรปและอเมริกามีแนวโน้มชะลอการขยายตัวลง เพราะค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ค่อนข้างสูง ทำให้ตลาดจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูงและนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศของคนไทยมีแนวโน้มจะเดินทางไปเที่ยวกันเองโดยลำพัง ด้วยการซื้อแพ็กเกจตั๋วเครื่องบิน พร้อมที่พัก และบริการรับ-ส่งสนามบิน กันมากขึ้น เพราะราคาจะถูกกว่าแพ็กเกจทัวร์เต็มรูปแบบประมาณร้อยละ 30-40 นอกจากนี้ ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย แต่ละประเทศต่างใช้กลยุทธ์การตลาดกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวเดินทางซ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ขณะนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ในตลาดระดับกลางลงมามีแนวโน้มชะลอตัวลง

อย่างไรก็ตาม บรรดาบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศต่างพยายามดึงดูดลูกค้า ด้วยการสร้างความโดดเด่นในด้านต่างๆ อาทิ ความคุ้มค่า ความแปลกใหม่ ความปลอดภัย การบริการที่ดี และการให้ความรู้ในสิ่งต่างๆที่ได้พบตลอดการเดินทาง โดยบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงในด้านความน่าเชื่อถือพยายามขยายฐานลูกค้าเก่าแก่ในตลาดระดับบนที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริหารในบริษัทขนาดใหญ่ รวมทั้งธุรกิจขายตรงขนาดใหญ่ที่ยังใช้แพ็กเกจทัวร์ต่างประเทศเป็นรางวัลทำเป้ายอดขาย ขณะที่มีบริษัทนำเที่ยวต่างประเทศขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยใช้ราคาที่ถูกกว่าดึงดูดลูกค้า แต่ส่วนใหญ่จะเน้นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูง