ลอนดอน—(บิสิเนส ไวร์)
เดวิด แอล. สทัลป์ จากเอินส์ท แอนด์ ยัง ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการให้บริการอย่างมืออาชีพ กล่าวว่า “ผู้บริหารอาวุโสหลายคนแสดงความวิตกกังวลอย่างมากต่อการติดสินบนและการ ทุจริตคอร์รัปชั่นในการทำธุรกิจในตลาดเกิดใหม่”
“แต่หลายฝ่ายยังไม่จริงจังมากพอกับภัยคุกคามนี้ จริยธรรมทางธุรกิจที่เข้มงวดที่ได้รับการสนับสนุนจากกระบวนการควบคุมที่ เหมาะสม ต้องฝังแน่นอยู่ในการดำเนินงานในท้องถิ่น ไม่ใช่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดำเนินงานในสำนักงานใหญ่เท่านั้น”
ในงานเปิดเผยแบบสำรวจเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นในตลาดเกิดใหม่ครั้งที่ 9 (the 9TH Global Fraud Survey in Emerging Markets) เดวิด แอล. สทัลป์ ผู้นำร่วมในภารกิจสืบสวนการทุจริตและข้อพิพาท (Fraud Investigations & Dispute Services) ของเอินส์ท แอนด์ ยัง กล่าวว่า “คดีอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตการคอร์รัปชั่นสำคัญๆ ได้เป็นข่าวพาดหัวไปทั่วโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณค่าขององค์กรและมูลค่าของตลาดอย่างมาก ในขณะที่มีความหวาดเกรงว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นจะเกิดขึ้นมากที่สุดในตลาด เกิดใหม่ และในขณะที่บริษัท 20% ตกเป็นเหยื่อของการโกงนั้น บริษัทที่ยังคงประเมินผลของการทุจริตต่ำไปอาจมีความเสี่ยงร้ายแรงมาก”
องค์กรในตลาดที่พัฒนาแล้วที่ซึ่งมีการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นนั้น ปรากฏว่า 3 ใน 4 ของการทุจริตเกิดขึ้นกับการดำเนินงานในประเทศที่เป็นสำนักงานใหญ่หรือใน ประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารอาวุโสแสดงความวิตกเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการกระทำทุจริตกิจการใน ตลาดเกิดใหม่ โดยเกือบครึ่งหนึ่ง (48%) อ้างว่าการติดสินบนและการคอร์รัปชั่นเป็นความเสี่ยงสูงสุด
แต่หลายฝ่ายก็ยังไม่หาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงจากการทุจริต คอร์รัปชั่นในตลาดเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ในตลาดเกิดใหม่ที่ซึ่งการจ่ายค่าธรรมเนียมถือเป็นเรื่องปรกตินั้น ปรากฏว่า 3 ใน 4 ของพนักงาน (32%) ไม่ได้รับการฝึกอบรมเรื่องความแตกต่างระหว่างการเสียค่าธรรมเนียมเพื่อความ สะดวกในการได้รับบริการและการติดสินบน แม้แต่ในที่ที่มีการสื่อสารเรื่องนโยบายปราบปรามการทุจริต 1 ใน 4 ของพนักงาน (25%) กลับไม่ได้รับการศึกษาว่าจะนำนโยบายนั้นๆ ไปใช้อย่างไร
ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง (60%) ในประเทศพัฒนาแล้วกล่าวว่า พวกเขาเชื่อว่าการทุจริตมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับการดำเนินงานในตลาดเกิด ใหม่มากกว่าในตลาดที่พัฒนาแล้ว แม้ว่าจากสถิติ พบว่า 75% ของการทุจริตเกิดขึ้นในตลาดที่พัฒนาแล้วก็ตาม ความวิตกกังวลมีมากขึ้นในหมู่ผู้บริหารที่บริหารงานในตลาดเกิดใหม่ โดยเกือบ 9 ใน 10 (86%) ของบริษัทต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในตลาดเกิดใหม่ เชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดการทุจริตมากขึ้น
‘ช่องว่าง’ ระหว่างประสบการณ์และการรับรู้นี้ ชี้ให้เห็นว่านโยบายปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ใช้ในประเทศพัฒนาแล้ว อาจจะยังไม่ได้รับการแนะนำอย่างเหมาะสมให้กับการดำเนินงานในต่างประเทศ
แบบสำรวจนี้ยังชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ ยังดำเนินการไม่เพียงพอในการลดความเสี่ยงจากการทุจริต การควบคุมภายในที่เข้มงวดยังคงเป็นขั้นแรกของการปราบปรามการทุจริตสำหรับ บริษัทต่างๆ ในทุกตลาด แต่การควบคุมการปราบปรามการทุจริตไม่ได้ถูกบูรณาการอยู่ในโครงการปราบปราม การทุจริตเสมอไป และไม่ได้ถูกตรวจตราว่าได้นำไปปฏิบัติตามหรือไม่ 2 ใน 4 (40%) ของบริษัทต่างๆ ยังไม่มีนโยบายปราบปรามการทุจริตอย่างเป็นทางการหรือเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่มีการทำแบบสำรวจเรื่องการ ทุจริตคอร์รัปชั่นทั่วโลกครั้งที่ 8 ในปี 2546
การประเมินความเสี่ยงจากการทุจริตคอร์รัปชั่น
การสำรวจในปีนี้พบว่า 1 ใน 5 องค์กร ได้ตัดสินใจที่จะไม่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากการประเมินความเสี่ยงจากการทุจริต โดยผู้ตอบแบบสำรวจจำนวนมากที่ตัดสินใจไม่ลงทุนเป็นผู้ที่มีนโยบายปราบปราม การทุจริตอย่างเป็นทางการทั่วโลก และตัดสินใจไม่ลงทุนเนื่องจากการประเมินความเสี่ยงจากการทุจริตโดยละเอียด
สำหรับบริษัทที่เริ่มเข้ามาในตลาดใหม่ๆ โดยไม่ได้รับผลประโยชน์จากการประเมินความเสี่ยงจากการทุจริตนั้น มีความจำเป็นมากกว่ามากที่จะนำนโยบายปราบปรามการทุจริตไปใช้เพื่อป้องกันและ ตรวจสอบการทุจริต อย่างไรก็ตามองค์กรที่ไม่มีนโยบายปราบปรามการทุจริตอย่างเป็นทางการนี้เอง ที่มีแนวโน้มจะเข้ามาในตลาดใหม่โดยไม่มีการพิจารณาความเสี่ยงจากการทุจริต บริษัทที่มีนโยบายปราบปรามการทุจริตมีแนวโน้มมากกว่าบริษัทที่ไม่มีนโยบาย 3 เท่า ที่จะนำเรื่องการทุจริตเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจลงทุนในตลาด
“บริษัทต่างๆที่มีการจัดทำโครงการปราบปรามการทุจริตอาจได้รับประโยชน์ ถ้าทำให้โครงการเหล่านี้ครอบคลุมและขยายให้ครอบคลุมสถานที่ปฏิบัติการในต่าง ประเทศทั้งหมดด้วย” สทัลป์กล่าว “อย่างไรก็ตามการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันหรือการฝึกฝนที่ไม่เพียงพอจะลด ประสิทธิภาพของโครงการปราบปรามการทุจริตมากที่สุดถึง 1 ใน 4 (25%) ของบริษัทต่างๆ”
“เราตระหนักว่าธุรกิจที่กระตือรือร้นต้องไล่ตามโอกาสในตลาดเกิดใหม่ที่น่า ตื่นเต้นเหล่านี้ แต่โอกาสนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่ด้วย มาตรการปราบปรามการทุจริตที่เหมาะสมจะลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก และจะช่วยให้ผู้บริหารอาวุโสหันมามุ่งเน้นธุรกิจที่กำลังเติบโต”
ผลของการสำรวจที่สำคัญๆ ได้แก่
— ประเด็นเรื่องบรรษัทภิบาลเป็นสิ่งแรกในความคิดของผู้ตอบแบบสอบถาม และการที่มีความพยายามบังคับใช้นโยบายปราบปรามการทุจริตที่เข้มงวดมากขึ้น ทั่วโลกโดยผู้กำหนดนโยบาย ทำให้ผู้บริหารของบริษัทต่างๆ หันมามุ่งเน้นที่การจัดการความเสี่ยงจากการทุจริตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
— บริษัทที่ได้รับการสำรวจกำลังเปลี่ยนความคิดของตนว่าทำไมพวกเขาต้องสืบสวน การทุจริต จากที่เคยตำหนิทุกฝ่ายเท่าๆกัน และชดเชยค่าเสียหาย ในปัจจุบันผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งแสดงความต้องการที่จะชี้เฉพาะและ ปรับปรุงจุดอ่อนของการควบคุมไม่ให้เกิดการทุจริต
— ในขณะที่บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับการติดสินบนและการ คอร์รัปชั่นในตลาดเกิดใหม่ แบบสำรวจของเราชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ อาจประเมินค่าความร้ายแรงของการโกงงบการเงินในตลาดเหล่านี้ต่ำไป ในขณะที่การนำมาตรฐานการรายงานเรื่องการเงินนานาชาติ (IFRS) ไปใช้ เป็นก้าวที่เป็นบวกที่นักลงทุนและผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุนทั่วโลกได้เลือกใช้ การเปลี่ยนแปลงไปสู่มาตรฐานใหม่ด้านการบัญชี โดยเปลี่ยนแปลงจากการใช้ GAAP ในท้องถิ่น ไปสู่ IFRS อาจมีผลกระทบในด้านลบต่อผลการเงินในอดีตของบริษัทสาขา ดังนั้นจึงอาจเพิ่มความกดดันให้แก่ผู้จัดการซึ่งนำไปสู่การโกงงบการเงิน
— สำหรับหลายๆ บริษัทนั้น การทำงานกับบุคคลที่ 3 และพ่อค้าคนกลาง เป็นกุญแจไปสู่การบรรลุการเติบโตในตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามเกือบ 1 ใน 3 (28%) ขององค์กรเหล่านี้ไม่มีมาตรการปราบปรามการทุจริตเพื่อการจัดการความเสี่ยง ที่เกี่ยวข้อง
เกี่ยวกับความเสี่ยงจากการทุจริตในตลาดเกิดใหม่
ความเสี่ยงจากการทุจริตในตลาดเกิดใหม่ (Fraud Risk in Emerging Markets) เป็นการสำรวจทั่วโลกครั้งที่ 9 ของเอินส์ท แอนด์ ยัง ตั้งแต่เดือนก.พ.-เม.ย. 2549 ได้มีการสัมภาษณ์ผู้บริหารอาวุโสในองค์กรใหญ่ๆ ทางโทรศัพท์ เป็นจำนวน 586 ครั้ง ใน 19 ประเทศ (8 ประเทศอยู่ในประเภท ‘ตลาดเกิดใหม่’) แบบสำรวจนี้จัดทำโดยสำนักวิจัย Taylor Nelson Sofres ของเรา
เกี่ยวกับเอินส์ท แอนด์ ยัง
เอินส์ท แอนด์ ยัง เป็นผู้นำระดับโลกในการให้บริการอย่างมืออาชีพ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูความไว้วางใจของประชาชนต่อบริษัทที่ให้ บริการด้านวิชาชีพและในด้านคุณภาพของรายงานทางการเงิน บุคลากรของบริษัทจำนวน 107,000 คนใน 140 ประเทศ ดำเนินงานโดยยึดหลักคุณธรรม คุณภาพ และความเป็นมืออาชีพในระดับสูงสุดเพื่อการให้บริการที่หลากหลายที่มุ่งเน้น ความเชี่ยวชาญหลักของเราในการตรวจสอบบัญชี การทำบัญชี ภาษี และการทำธุรกรรมต่างๆ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอินส์ท แอนด์ ยัง และประเด็นด้านธุรกิจที่หลากหลายที่ www.ey.com/perspectives โดยเอินส์ท แอนด์ ยัง เกี่ยวข้องเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์กรเอินส์ท แอนด์ ยัง โกลบัล ลิมิเต็ด ซึ่งไม่ได้ให้บริการแก่ลูกค้า
ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เผยแพร่โดยบริษัท EYGM Limited ซึ่งเป็นสมาชิกรายหนึ่งขององค์กรเอินส์ท แอนด์ ยัง โกลบัล ลิมิเต็ด
ติดต่อ: Ernst & Young Global PR
Daniel Lawrence
โทร. +44 (0)20 7980 0504
อีเมล์ [email protected]