ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เผยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารมีมติกำหนดวันเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นเดิม ระหว่างวันที่ 21-25 สิงหาคม 2549 โดยตั้งราคาเสนอขายหุ้นละ 3 บาท โดยพิจารณาความพร้อมของตลาดและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มั่นใจเพิ่มทุนสำเร็จ
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทย เผยว่า วันนี้คณะกรรมการบริหารพิจารณาวาระการเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งเคยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2549 ว่าธนาคารจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 180 วันนับจากวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2549
นายสุภัคกล่าวว่า ธนาคารเร่งดำเนินการตามมติที่ได้รับจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยพิจารณาความพร้อมของสภาวะตลาด และผู้ถือหุ้นรายใหญ่
“การเพิ่มทุนของธนาคารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นและความมั่นคงของธนาคาร ตลอดจนเพื่อสนองตอบการเจริญเติบโตของแผนธุรกิจที่วางไว้ เมื่อธนาคารเพิ่มทุนสำเร็จ ธนาคารจะมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ที่ระดับประมาณ 12% และเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่ระดับประมาณ 8.5% เทียบเท่ากับธนาคารพาณิชย์ชั้นนำอื่นๆ ตามเป้าหมายที่ธนาคารตั้งไว้ในการเพิ่มความแข็งแกร่งระยะยาวภายใต้เกณฑ์ Basel II ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะบังคับใช้ในอนาคต
“ ดังนั้น เมื่อปัจจัยทุกอย่างพร้อม คณะกรรมการบริหารจึงดำเนินการตามที่ได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นทันที นั่นคือ กำหนดให้วันที่ 21-25 สิงหาคม 2549 เป็นวันเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม โดยตั้งราคาที่เหมาะสมไว้ที่หุ้นละ 3 บาทเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในตลาดปัจจุบัน price to book value และ price to earnings ratio แล้ว เรามั่นใจว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้”
ตามมติที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,222,389,300 หุ้น จะจัดสรรเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งได้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญและผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ ที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 7 เมษายน 2549 ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ ในอัตรา 4.75 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ผู้ถือหุ้นเดิมรายใดประสงค์จะจองซื้อเกินสิทธิก็สามารถทำได้ตามกำหนดเวลาดังกล่าว และหากมีหุ้นเหลือจากการจองซื้อของผู้ถือหุ้นเดิม คณะกรรมการบริหารจะเสนอขายต่อผู้ลงทุนประเภทสถาบันหรือที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ (Private Placement)
ก่อนหน้านี้ ธนาคารประสบความสำเร็จอย่างสูงในการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ์กึ่งทุน หรือไฮบริดบอนด์ ในวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา