ผลการศึกษาครั้งใหม่ว่าด้วยทัศนคติของแพทย์เกี่ยวกับการสูบบุหรี่และการเลิกบุหรี่

บาร์เซโลน่า, สเปน–(บิสิเนส ไวร์)

— แพทย์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าการสูบบุหรี่เป็นอาการเจ็บป่วยที่กำเริบและเรื้อรัง และเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาวมากที่สุด

— ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทัศนคติของแพทย์ที่สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่

นายแพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่า การสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมร้ายแรงที่สุดที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาว เมื่อเทียบกับการขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การดื่มแอลกอฮอล และการรับประทานมากเกินความต้องการหรือความอ้วน จากผลการสำรวจทัศนคติของแพทย์เกี่ยวกับการสูบบุหรี่และการเลิกบุหรี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในการศึกษาระดับนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งมีการเปิดเผยในวันนี้ที่การประชุมโรคหัวใจโลกและการประชุมโรคหัวใจแห่งยุโรป (the World Congress of Cardiology / European Society of Cardiology) ณ กรุงบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน โดยแพทย์ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 81 เห็นว่าการสูบบุหรี่เป็นอาการเจ็บป่วยที่กำเริบและเรื้อรัง (a chronic, relapsing, medical condition)

ถึงแม้แพทย์ส่วนใหญ่จะเห็นพ้องกันในเรื่องดังกล่าว แต่แพทย์มากกว่าครึ่งหนึ่งที่ตอบแบบสำรวจก็ไม่มีเวลาที่จะช่วยให้คนไข้ของพวกเขาเลิกสูบบุหรี่ และร้อยละ 38 รู้สึกว่าพวกเขาได้รับการฝึกอบรมอย่างไม่เหมาะสม ในขณะที่ร้อยละ 46 กล่าวว่าพวกเขามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้ใส่ใจ นอกจากนี้แพทย์จำนวนมากยังเห็นพ้องกันว่า การรักษาอาการติดบุหรี่นั้น ยากกว่าการรักษาอาการความดันสูงและคอลเรสเตอรอลสูง และรักษายากพอๆกับโรคอ้วนเลยทีเดียว แม้ว่าแพทย์เกือบทุกคนยอมรับว่า การสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมที่ติดแล้วเลิกยาก แต่แพทย์ก็ยังคงเห็นว่าบุคคลที่มีความรับผิดชอบสูงสุดในการเลิกสูบบุหรี่ก็คือตัวผู้สูบบุหรี่เอง มากกว่าที่จะมองว่าหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของแพทย์ (GPs)

“สิ่งที่การสำรวจนี้เน้นคือความยากลำบากที่แพทย์ต้องประสบในการช่วยให้ผู้ป่วยเลิกสูบบุหรี่” ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เวสต์ แห่งสถาบันวิจัยโรคมะเร็งแห่งสหราชอาณาจักร กล่าว “ขณะที่ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าการสูบบุหรี่สัมพันธ์อย่างมากกับการเกิดโรค การช่วยให้ประชาชนเลิกสูบบุหรี่ได้ก็มีความท้าทายมากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่แพทย์ต้องให้การสนับสนุนและคำแนะนำที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงแก่คนไข้ของพวกเขา ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่เกิดการเรียนรู้จากผลการศึกษาเหล่านี้”

อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างความคิดเห็นของแพทย์ที่สูบบุหรี่และแพทย์ที่ไม่สูบบุหรี่ มีเพียงร้อยละ 57 ของแพทย์ที่สูบบุหรี่ ระบุว่า “การสูบบุหรี่” เป็นพฤติกรรมที่อันตรายที่สุดสำหรับคนไข้ของพวกเขา เปรียบเทียบกับร้อยละ 73 ของแพทย์ที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าแพทย์ที่สูบบุหรี่บางคนอาจประเมินผลกระทบร้ายแรงของการสูบบุหรี่ต่ำเกินไป

การสนทนาระหว่างหมอกับคนไข้
แม้ว่าแพทย์จำนวนมากกล่าวว่าพวกเขาได้พูดคุยเรื่องการสูบบุหรี่กับคนไข้ของพวกเขาทุกครั้งที่คนไข้มาหาหรือพูดคุยเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่แล้วการสนทนาของพวกเขามักมุ่งเน้นไปที่การให้ข้อมูลเรื่องสาธารณสุขที่รับทราบกันเป็นวงกว้างอยู่แล้ว มากกว่าที่จะช่วยทำให้กระบวนการเลิกบุหรี่ง่ายขึ้น มีเพียงร้อยละ 47 ที่ช่วยผู้ป่วยพัฒนาแผนเลิกบุหรี่ ร้อยละ 39 แนะนำให้ไปซื้อยาเอง (over-the-counter (OTC) medication) และร้อยละ 29 เขียนใบสั่งยาให้ ทั้งนี้ แพทย์ในอเมริกาเหนือมีบทบาทเป็นผู้รุกมากกว่า โดยร้อยละ 76 ช่วยให้ผู้สูบบุหรี่พัฒนาแผนการเลิกบุหรี่ และร้อยละ 57 สั่งยาให้ เทียบกับร้อยละ 43 และ 21 ตามลำดับในยุโรป

ร้อยละ 43 ของแพทย์ที่ไม่สูบบุหรี่พูดคุยเรื่องการสูบบุหรี่กับคนไข้ของพวกเขาทุกครั้งที่คนไข้มาพบ ขณะที่แพทย์ที่สูบบุหรี่ทำเช่นนั้นเพียงร้อยละ 33 ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่ความแตกต่างระหว่างแพทย์ที่สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างอย่างมากทั่วโลก โดยแพทย์ในอเมริกาเหนือ (ทั้งที่สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่) มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 68 ในขณะที่ในเอเชียมีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น

แพทย์ส่วนใหญ่เข้าว่าใจว่าทำไมการเลิกบุหรี่เป็นเรื่องยาก เกือบทุกคนเห็นพ้องว่าการสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมที่ติดเป็นนิสัย และร้อยละ 81 เห็นว่าเป็นอาการเจ็บป่วยที่กำเริบและเรื้อรัง ทั้งนี้ ร้อยละ 71 เห็นพ้องว่า การสูบบุหรี่ควรถูกจัดให้เป็นความเจ็บป่วย และร้อยละ 64 เชื่อว่า การจัดให้การสูบบุหรี่เป็นอาการเจ็บป่วยทางการแพทย์ จะเป็นการกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่อยากเลิกบุหรี่มากขึ้น

ศาสตราจารย์ซีรีน่า ทอนสแตด ภาควิชา Preventive Cardiology แห่งโรงพยาบาลแพทย์ Ulleval University Hospital ประเทศนอร์เวย์ กล่าวว่า “เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับความตายที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่นั้น ทุกคน ทั้งแพทย์และผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ จำเป็นต้องวางแผนใหม่สำหรับวิธีคิดและวิธีพูดคุยถึงการสูบบุหรี่”

“การสูบบุหรี่ไม่ใช่สิ่งบ่งชี้ว่าผู้สูบไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจหรือมีนิสัยที่อ่อนแอ แต่เป็นอาการเจ็บป่วยที่กำเริบและเรื้อรังอันเกิดจากการพึ่งพาบุหรี่ ผู้สูบบุหรี่จำนวนมากอาจต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์เพื่อให้หายจากอาการนี้ เนื่องจากผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่เสพติดสารนิโคติน ในท้ายที่สุดการเสพติดนี้ก็จะคร่าชีวิตผู้สูบบุหรี่ 1 ใน 2 ก่อนเวลาอันสมควร”

ทางเลือกในการรักษา
แพทย์รู้สึกว่าคนไข้เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการเลิกบุหรี่ด้วยตัวเอง นี่อาจเป็นสาเหตุที่ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกในการรักษาอาการสูบบุหรี่ที่มีประสิทธิผลเหมือนกับการรักษาความดันโลหิตสูงหรือคอเลสเตอรอลสูง อย่างไรก็ตามแพทย์ก็อาจประเมินจำนวนผู้ที่พยายามเลิกบุหรี่ต่ำเกินไป แพทย์ที่ตอบแบบสอบถามประเมินว่ามีผู้ที่พยายามเลิกสูบบุหรี่เพียงร้อยละ 18 แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีผู้ที่ต้องการเลิกสูบถึงประมาณ 1 ใน 3 ในแต่ละปี (1)

เมื่อถามว่าอะไรทำให้แพทย์ช่วยให้คนไข้เลิกสูบบุหรี่ได้ง่ายขึ้น เกือบทุกคนเห็นพ้องกันว่าพวกเขาต้องการยาที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ (81%) ต้องการคำชี้แนะในการฝึกฝนวิธีการสื่อสารและจูงใจผู้ป่วยให้เลิกสูบบุหรี่ (78%) และมีการเผยแพร่อัตราความสำเร็จในการเลิกบุหรี่อย่างกว้างขวางมากขึ้น (77%)

“สถานการณ์ปัจจุบันเป็นวงจรอุบาทว์ แม้แพทย์จะตระหนักถึงปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ พวกเขาก็ยังคงประเมินจำนวนคนไข้ที่พยายามเลิกสูบบุหรี่ต่ำเกินไป และก็รู้สึกว่าพวกเขามีทางเลือกในการแก้ไขปัญหาที่ไม่มีประสิทธิภาพ” ศาสตราจารย์เวสต์กล่าว “ผลก็คือพวกเขาผลักภาระในการช่วยให้คนไข้เลิกสูบบุหรี่ไปที่คนไข้ และเป็นที่รู้กันว่า มีผู้สูบบุหรี่ที่พยายามเลิกโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือถึงร้อยละ 5 ที่ต้องบังคับใจตนเองเป็นปีๆ ถ้าเรารุกคืบอย่างจริงจังในการต่อสู้กับการติดบุหรี่ซึ่งเป็นสาเหตุการตายก่อนกำหนดที่ป้องกันได้ในอันดับต้นๆของโลก เราก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการรับรู้เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ทั่วโลก”

เกี่ยวกับ STOP
การศึกษา STOP (Smoking: The Opinion of Physicians) ว่าด้วยทัศนคติของแพทย์เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ ได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทไฟเซอร์ และดำเนินการโดยบริษัทแฮร์ริส อินเตอร์แอคทีฟ โดยถือเป็นหนึ่งในการศึกษาระดับโลกขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการสำรวจความคิดเห็นของแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (General Practitioner (GP)) และแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว (family physician) เกี่ยวกับการสูบบุหรี่และการเลิกสูบบุหรี่ แพทย์จำนวน 2,836 คนจาก 16 ประเทศถูกสัมภาษณ์เพื่อการศึกษานี้ แพทย์ในแคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลี เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา มีส่วนร่วมในการศึกษานี้

STOP ได้รับการสนับสนุนเงินทุนโดยบริษัทไฟเซอร์

คำจำกัดความเกี่ยวกับภูมิภาค
เอเชีย = ญี่ปุ่น เกาหลี
ยุโรป = ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี อังกฤษ
ละตินอเมริกา = เม็กซิโก
อเมริกาเหนือ = แคนาดา สหรัฐอเมริกา

อ้างอิง
(1) World Health Organization. Policy Recommendations for Smoking Cessation and Treatment of Tobacco Dependence. 2003. สามารถรับชมทางออนไลน์ได้ที่ http://www.wpro.who.int/NR/rdonlyres/8D25E4D3-BB81-479E-8DF5-7BAF674DB10…

(ด้วยความยาวของ URL จึงอาจจำเป็นต้องคัดลอกและนำ URL นี้ไปใส่ไว้ในช่องอินเทอร์เน็ต บราวเซอร์)

ติดต่อ: Edelman PR ตัวแทน Pfizer
Zoe Fleming, +44 7949 735206