ตลาดไอที : ช่วงท้ายปี 49 และแนวโน้มปี 50

ในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2549 ที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน ความไม่แน่นอนทางการเมือง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบทำให้ราคาสินค้าให้ปรับตัวสูงขึ้นหลายรายการ อัตราเงินเฟ้อในเดือนตุลาคม 2549 ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า และสูงขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนกันยายน 2549 ส่งผลให้ดัชนีเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 นอกจากนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และสถานการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัด ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในการใช้จ่ายของประชาชนหรือมีการชะลอการใช้จ่ายลงเพื่อรองรับกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการชะลอการจัดซื้อของโครงการภาครัฐ ภาวะดังกล่าวจึงส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าเทคโนโลยีหลายๆ ประเภท โดยเฉพาะยอดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ในช่วงที่ผ่านมา มีการชะลอการซื้อลงเล็กน้อยแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่เข้ามากระตุ้นตลาดโดยเฉพาะโพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ (Dual Core) แต่กลับไม่สามารถช่วยทำให้ตลาดไอทีเติบโตสูงเท่ากับที่ประมาณการณ์ไว้เมื่อตอนต้นปี

ตลาดไอทีของไทยในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย (ATCI) ประมาณมูลค่าตลาดไอทีไทยในปี 2548 ที่ผ่านมาว่ามีมูลค่า 125,534 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 19 จากปี 2547 โดยมีสัดส่วนของฮาร์ดแวร์ ประมาณร้อยละ 51 ซอฟท์แวร์ ร้อยละ 33 บริการทางด้านคอมพิวเตอร์ร้อยละ 5 และตลาดอุปกรณ์สื่อสารข้อมูล ร้อยละ 11 และสำหรับในปี 2549 นั้นมีการคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีว่าจะมีมูลค่าตลาดไอทีเติบโตขึ้นต่อเนื่องอีกประมาณร้อยละ 19 หรือมีมูลค่าประมาณ 149,229 ล้านบาท อย่างไรก็ตามศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า มูลค่าตลาดไอทีในปี 2549 อาจไม่สูงไว้เท่ากับประมาณการณ์เมื่อตอนช่วงต้นปี เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประการที่ทำให้การเติบโตของตลาด โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการณ์ว่าตลาดไอทีในปี 2549 น่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นขึ้นร้อยละ 12.6 คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 141,426 ล้านบาท โดยที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟท์แวร์มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มฮาร์ดแวร์ บริการทางด้านคอมพิวเตอร์ และ อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล ตามลำดับ สำหรับแนวโน้มในปี 2550 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่า ตลาดไอทีไทยจะยังสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 15 มีมูลค่าตลาดประมาณ 162,717 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้

– การขยายตัวของเศรษฐกิจ ในปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ว่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 4.0-5.0 ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจัยบวกหลายประการ อาทิ ความสามารถในการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐจะมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ในขณะที่ราคาน้ำมันในประเทศก็น่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าในปี 2549 ที่ผ่านมารวมทั้งมีความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้น่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการใช้จ่ายซื้อสินค้ามากกว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งการเพิ่มการลงทุนสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น

– การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในด้านไอที มูลค่าตลาดไอทีนั้นหากเทียบกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) แล้ว สำหรับประเทศไทยนั้นจัดว่ามีสัดส่วนค่อนข้างน้อย หรือประมาณร้อยละ 1.97 ของ GDP ในปี2549 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.22 ในปี 2550 โดยกลุ่มที่มีการใช้จ่ายทางด้านไอทีสูงได้แก่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและโฮมออฟฟิส (SOHO) กลุ่มการศึกษา ส่วนกลุ่มราชการนั้นน่าจะมีโครงการจัดซื้อเพิ่มขึ้นหลังจากที่ในปี 2549 ได้ชะลอการจัดซื้อลงอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนกลุ่มโฮมยูสนั้นยังมีกำลังซื้อเข้ามาหลังจากต้องเผชิญกับปัจจัยที่ส่งผลต่อกำลังซื้อไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งคาดว่าในปี 2550 สถานการณ์เหล่านี้น่าจะคลี่คลายลงหรือลดความตึงเครียดกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา

– การเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์ สำหรับตลาดคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังมีโอกาสขยายตัวได้ดี ทั้งนี้เพราะฐานจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยข้อมูลการสำรวจการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานสถิติแห่งชาติในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2548 พบว่าอัตราการใช้คอมพิวเตอร์ต่อประชากรมีประมาณร้อยละ 5.83 และศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราการครอบครองคอมพิวเตอร์น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 7.78 ของจำนวนประชากรในปี 2549 แต่ก็จัดว่าอยู่ในระดับที่ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกันและในตลาดโลก ซึ่งทำให้ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีก

โดยในปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นน่าจะมีการเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 8-10 มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.4-1.5 ล้านเครื่อง ทั้งนี้จากการสำรวจความต้องการซื้อสินค้าเทคโนโลยีของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2549 ที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 8 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามถามมีความต้องการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ โดยร้อยละ 56 ต้องการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ก และร้อยละ 46 ต้องการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ซึ่งสอดคล้องกับยอดขายของตลาดที่พบว่าตลาดคอมพิวเตอร์แบบโน๊ตบุ้กนั้นมีอัตราการขยายตัวของยอดจำหน่ายสูง โดยมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 40-50 ต่อปี ในขณะที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 10-15 ต่อปี ทั้งนี้คาดว่า ราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์จะปรับลดลงแม้ว่าชิ้นส่วนประกอบหลายชิ้นมีแนวโน้มปรับราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่พยามยามนำเสนอสินค้าที่มีราคาต่ำลงและตัดอุปกรณ์เสริมบางชนิดเพื่อลดต้นทุนและยอมรับกำไรต่อเครื่องที่ลดลง ทั้งในกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและเครื่องโน้ตบุ๊ก การปรับลดราคาเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นในกลุ่มผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อินเตอร์แบรนด์ที่มีความได้เปรียบในด้านของความแข็งแกร่งของตราสินค้าที่เป็นที่ยอมรับจากตลาดทั่วโลก พร้อมกับมีบริการหลังจากขายที่ดีและมีการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะของแต่ละแบรนด์อยู่เสมอ ส่งผลให้การทำตลาดสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้มากด้วยการปรับราคาลงเพื่อเพิ่มยอดขาย ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตคอมพิวเตอร์โลคัลแบรนด์ที่ปัจจุบันมีราคาจำหน่ายต่ำกว่า ทำให้ต้องเร่งปรับกลยุทธ์การแข่งขันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คอมพิวเตอร์โลคัลแบรนด์นั้นยังต้องมีการพัฒนาการยอมรับของตราสินค้า บริการหลังการขายและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนคอมพิวเตอร์ประกอบเองนั้นแม้ว่าจะมีราคาต่ำกว่าแต่ก็ยังมีความต้องการเฉพาะกลุ่มที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์พอสมควร

– การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่องทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสร้างจุดขายใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น แต่ราคาเทคโนโลยีกลับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ในปี 2550 จะมีเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องจากปี 2549 โดยเฉพาะโพรเซสเซอร์คอร์ทู ดูอัล (Core to Dual) ที่จะทำให้การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการทำงานในลักษณะมัลติมีเดียและรองรับระบบปฎิบัติการวินโดว์วิสต้า ที่จะเปิดตลาดอย่างเป็นทางการในปี 2550 ซึ่งระบบปฎิบัติการวิสต้านั้นต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดังกล่าวน่าจะมีผลต่อการกระตุ้นตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีจอภาพแบบ LCD จะเข้ามาแทนที่จอภาพแบบ CRT หลังจากที่ราคา LCD ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและมีขนาดจอภาพที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้รองรับการทำงานในลักษณะ Digital Home Entertainment หรือการผนวกข้อมูล ภาพและเสียงเข้าด้วยกันโดยใช้พีซีเป็นศูนย์กลาง คาดว่าจะส่งผลให้ความต้องการจอ LCD เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในปี 2550 นั้นตลาดไอทีในประเทศจะยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การผ่อนคลายของสภาวะทางการเมือง ความมีเสถียรภาพของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค สำหรับสินค้าไอทีนั้นแม้ว่าในปี 2549 ที่ผ่านมาอาจต้องประสบกับปัญหาการชะลอซื้อของผู้บริโภคลงบ้างแต่เนื่องจากสินค้าไอทีเป็นสินค้าที่เพิ่มบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประวันมากยิ่งขึ้นและเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้นก็ทำให้ความต้องการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทั้งจากกลุ่มผู้ใช้ใหม่และผู้ใช้เดิมที่มีการซื้อซ้ำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น และที่ผ่านมาอัตราการครอบครองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของไทยนั้นยังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ ซึ่งเป็นช่องว่างให้ตลาดไอทีในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต