ในระยะ 10 เดือนที่ผ่านมาของปี 2549 แม้ว่าอุปสงค์ภายในประเทศมีทิศทางชะลอตัว ทั้งในด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุน ภาคอุตสาหกรรมยังคงมีระดับการผลิตเติบโตในเกณฑ์ดี โดยมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวสูง แม้ว่าเริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวในช่วงไตรมาสสองและไตรมาสสาม ตามภาวะตลาดต่างประเทศที่ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกเริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม หลังจากมีปฏิรูปการปกครอง ความกังวลของภาคเอกชนต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองเริ่มผ่อนคลายลง ผู้บริโภคมีความมั่นใจต่อการใช้จ่ายมากขึ้นกว่าระยะที่ผ่านมา ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยลดผลกระทบในด้านต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาระรายจ่ายของผู้บริโภค
จากการที่ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะการใช้จ่ายภายในประเทศตลอดช่วงปี 2549 นี้ มีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น และคาดว่าจะมีความต่อเนื่องไปถึงช่วงปีข้างหน้า ประกอบกับภาครัฐน่าจะสามารถเริ่มต้นเบิกจ่ายวงเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ได้เร็วกว่าคาดการณ์เดิม เหตุผลสำคัญดังกล่าวนี้ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในปี 2550 ขึ้น โดยประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทิศทางของภาคอุตสาหกรรมในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2549 และแนวโน้มในปี 2550 มีดังนี้
ภาวะอุตสาหกรรมในไตรมาสสามถึงไตรมาสสี่ … ยังรักษาระดับใกล้เคียงกับไตรมาสสอง
ในไตรมาสสามของปี 2549 ภาคอุตสาหกรรมเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับในไตรมาสสอง แต่ชะลอลงกว่าในไตรมาสแรก โดยอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นส่งออกมีทิศทางชะลอตัวลง ขณะที่อุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นตลาดภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสสามปี 2549 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 16.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นกว่าไตรมาสสองจากที่ขยายตัวร้อยละ 13.9 แต่สาเหตุที่สำคัญเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นในด้านราคามากกว่าในด้านปริมาณ โดยเฉพาะราคาสินค้าที่พึ่งพาเทคโนโลยีมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก แต่ปริมาณการส่งออกสินค้าของไทยเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงค่อนข้างชัดเจน โดยคาดว่ามีสาเหตุจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญ และการแข็งค่าของเงินบาท อัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม (Capacity Utilization) ในไตรมาสสามอยู่ที่ระดับ 74.0% ใกล้เคียงกับไตรมาสสอง ที่มีระดับ 73.8% อัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาสสามส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรง ที่สร้างความเสียหายในพื้นที่หลายจังหวัด โดยสถานการณ์มีความรุนแรงในช่วงเดือนกันยายนถึงปลายเดือนตุลาคม ทำให้ภาคอุตสาหกรรมในบางพื้นที่เผชิญอุปสรรคในด้านการผลิตและจัดส่งสินค้า
จากการวิเคราะห์เครื่องชี้กิจกรรมเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพีของภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสสามอาจมีอัตราการขยายตัวใกล้เคียงกับไตรมาสสองที่ขยายตัวร้อยละ 5.8 (ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ในไตรมาสแรก)
สำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 นี้ ปัจจัยลบหลายประการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น อาทิ ราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้ออ่อนตัวลง ความกังวลของภาคเอกชนต่อปัญหาทางการเมืองลดน้อยลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งนับเป็นปัจจัยบวกต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ปัจจัยกระทบด้านลบในช่วงไตรมาสสี่อาจเกิดจากความล่าช้าของการเริ่มต้นเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาลสำหรับปีงบประมาณ 2550 รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมส่งออก โดยรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จีดีพีของภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสสี่อาจมีอัตราการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับสองไตรมาสก่อนหน้าที่ประมาณร้อยละ 5.5 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของภาคอุตสาหกรรมในปี 2549 มีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 6.2 สูงขึ้นจากร้อยละ 5.5 ในปี 2548 โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคการส่งออกเป็นสำคัญ
การแข็งค่าของเงินบาท ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม
ในระยะที่ผ่านมาของปีนี้ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องไปปิดที่ระดับ 35.82 บาท/ดอลลาร์ เป็นการแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 8 ปี และแข็งค่าขึ้นร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2548 อีกทั้งเป็นอัตราที่สูงกว่าเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค ที่ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ แข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 8.4 สิงคโปร์ดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 8.0 ค่าเงินหยวนของจีน แข็งค่าขึ้นร้อยละ 3.0 ขณะที่ค่าเงินยูโรที่ Outperform เงินสกุลอื่นในปีนี้ก็ยังแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 11.8 ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยกว่าค่าเงินบาทของไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าอย่างรวดเร็วในปีนี้ แต่ถ้าพิจารณานับจากหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินจนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทยังแข็งค่าน้อยกว่าเงินวอนของเกาหลีใต้และสิงคโปร์ดอลลาร์ฯ นอกจากนี้ การที่เงินบาทอ่อนค่าลงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นเสมือนตัวช่วยให้กับผู้ส่งออกไทย ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันในด้านราคาเพิ่มขึ้น เห็นได้จากดัชนีราคาส่งออกในรูปบาทมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาส่งออกในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่ามาก แต่ภาวะดังกล่าวอาจไม่ได้ผลักดันให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการลดต้นทุนมากนัก
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมส่งออกคงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกระแสการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เงินสกุลภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทย มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางสภาวการณ์เช่นนี้ ธุรกิจจึงจำเป็นต้องหาแนวทางปรับตัวเพื่อให้สินค้าสามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในต่างประเทศได้ โดยไม่สามารถหวังพึ่งค่าเงินที่อ่อนเช่นที่ผ่านมา แต่ต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต (Productivity Increase) รวมถึงความพยายามในการลดต้นทุนในองค์กร (Cost Reduction) อย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นร้อยละ 5 ถ้าธุรกิจตั้งเป้าหมายตัดลดต้นทุนการผลิตลงได้ร้อยละ 5 ก็จะสามารถบรรเทาผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
แนวโน้มอุตสาหกรรมไทยใน ปี 2550 … อาจชะลอตัวลง
ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาคอุตสาหกรรมของไทยในปี 2550 ในด้านบวก คาดว่าราคาน้ำมันอาจมีระดับเฉลี่ยทั้งปีที่ลดลงกว่าในปี 2549 ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มชะลอลง ซึ่งจะช่วยให้ราคาสินค้าผู้บริโภคและราคาสินค้าผู้ผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยในประเทศน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น หรือมีโอกาสปรับลดลงได้ในช่วงปี 2550 ถ้าสถานการณ์ทางการเมืองมีความสงบเรียบร้อย ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่จะเดินหน้าแผนการลงทุน นอกจากนี้ การเบิกจ่ายวงเงินงบประมาณประจำปี 2550 ที่รัฐบาลคาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ประมาณต้นปี 2550 ซึ่งเร็วขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม (ประมาณปลายไตรมาสสอง) ก็เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ช่วยให้มีเม็ดเงินใช้จ่ายของภาครัฐเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ปัจจัยบวกที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมน่าจะเติบโตสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในด้านลบที่สำคัญได้แก่ ความเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการส่งออก ที่อาจเผชิญปัจจัยลบหลายประการ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจประเทศชั้นนำของโลก ทั้งญี่ปุ่น ยูโรโซน และจีน การแข็งค่าของเงินบาท และมาตรการทางการค้าของประเทศคู่ค้า ซึ่งประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาคือ การพิจารณาต่ออายุสิทธิพิเศษจีเอสพีที่สหรัฐให้กับไทย
โดยรวมแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของภาคอุตสาหกรรมในปี 2550 อาจมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยที่ชะลอตัวลง อยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.6-5.1 เทียบกับที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.2 ในปี 2549 แต่สูงขึ้นกว่าคาดการณ์เดิมที่ระดับร้อยละ 4.3
การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 อาจมีอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 3 ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงในไตรมาสแรก ปี 2549 แต่ภาวะอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสอง และขยายตัวสูงขึ้นมาที่ประมาณร้อยละ 6 ในช่วงครึ่งหลังของปี
โดยสรุป ในระยะที่ผ่านมาของปีนี้ แม้ว่าอุปสงค์ภายในประเทศมีทิศทางชะลอตัว โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชน แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยยังมีการเติบโตในอัตราค่อนข้างดี โดยมีแรงกระตุ้นที่สำคัญจากภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงไปจากอุปสงค์ภายนอกประเทศมาอยู่ที่อุปสงค์ภายในประเทศมากขึ้น โดยปัจจัยลบที่กดดันภาวะการใช้จ่ายของภาคเอกชนตลอดช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ที่สำคัญได้แก่ ราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และสถานการณ์ทางการเมือง ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งผลดังกล่าวคงจะต่อเนื่องไปถึงช่วงปี 2550 ขณะที่ปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าที่ผูกโยงกับสินเชื่อผู้บริโภค เช่น ที่อยู่อาศัย รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า อาจมีโอกาสปรับลดลงได้ในช่วงปี 2550 ปัจจัยเหล่านี้น่าจะมีผลในทางที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายภายในประเทศ ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลเฉพาะกาลยังมีนโยบายเดินหน้าโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ก็เป็นที่คาดหวังว่าจะมีผลกระตุ้นภาคการลงทุนภายในประเทศอีกทางหนึ่งด้วย อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคและการลงทุน อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป วัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และยานยนต์
สำหรับปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจในปี 2550 คาดว่าจะมาจากการชะลอตัวในภาคการส่งออก โดยมีสาเหตุสำคัญเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก การแข็งค่าของเงินบาท และมาตรการทางการค้าของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะประเด็นการต่ออายุโครงการสิทธิพิเศษจีเอสพีที่สหรัฐให้กับไทย ปัจจัยดังกล่าวคงเป็นผลกระทบที่ผู้ประกอบการส่งออกต้องเตรียมตัวรับมือ โดยเฉพาะประเด็นการแข็งค่าของเงินบาท อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูป ผักผลไม้แปรรูป สิ่งทอ และอุตสาหกรรมอื่นๆที่พึ่งพาวัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก สำหรับอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบสูง จะได้รับผลกระทบในระดับที่รุนแรงน้อยกว่า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี เป็นต้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของภาคอุตสาหกรรมในปี 2549 อาจมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 6.2 สูงขึ้นจากร้อยละ 5.5 ในปี 2548 โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคการส่งออกเป็นสำคัญ สำหรับแนวโน้มในปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของภาคอุตสาหกรรมในปี 2550 อาจมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยที่ชะลอตัวลง อยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.6-5.1 แต่สูงขึ้นกว่าคาดการณ์เดิมที่ระดับร้อยละ 4.3 การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 อาจมีอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 3 ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงในไตรมาสแรก ปี 2549 แต่แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมน่าจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสอง และขยายตัวสูงขึ้นมาที่ประมาณร้อยละ 6 ในช่วงครึ่งหลังของปี
แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปี 2550 เป็นทิศทางที่คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ภายใต้กระแสความเชื่อมโยงในระบบการเงินของโลก ท่ามกลางภาวะดังกล่าว ในด้านหนึ่งภาคธุรกิจในหลายสาขาอาจได้รับผลกระทบในทางลบ โดยเฉพาะธุรกิจส่งออก อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนสามารถหาโอกาสแสวงหาประโยชน์ในช่วงจังหวะเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่า ผู้ผลิตมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากวัตถุดิบนำเข้าที่มีราคาต่ำลง นอกจากนี้ยังป็นโอกาสของภาคธุรกิจในการลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ ในการนำเข้าเครื่องจักรที่มีราคาแพง
สำหรับแนวทางปรับตัวของผู้ประกอบการในการลดผลกระทบในภาวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่า อาจทำได้หลายวิธี เช่น การทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน การเจรจากับคู่ค้าในการกำหนดราคาเป็นสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ การวางแผนบริหารรายรับและรายจ่ายในรูปดอลลาร์ฯอย่างเหมาะสมเพื่อลดการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อต้องแลกดอลลาร์ฯมาเป็นเงินบาท (เช่นผู้ประกอบการมีรายได้ในรูปดอลลาร์ฯ อาจวางแผนนำเข้าวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตหรือการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตโดยไม่ต้องแลกคืนรายได้กลับมาเป็นเงินบาท) นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจหาแนวทางลดต้นทุน (เช่น ต้นทุนในกระบวนการผลิต ต้นทุนวัตถุดิบ) เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการที่พึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วนที่สูงอาจมีการแสวงหาตลาดใหม่ เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่จะมาจากตลาดสหรัฐ แนวทางสุดท้าย ธุรกิจไทยอาจจำเป็นต้องหันมาพิจารณาช่องทางในการออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนแรงงานต่ำมากขึ้น
หากมองย้อนกลับไปดูพัฒนาการของประเทศก้าวหน้าในเอเชีย ไม่ว่า ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ต่างสามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ผ่านพ้นปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น การฝ่าฟันปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็นโจทย์สำคัญที่ภาคเอกชนไทยต้องนำไปขบคิดเพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ภายใต้กระแสการแข็งค่าของระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดำเนินไปพร้อมกับระดับการพัฒนาของประเทศ
ขณะเดียวกัน เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากระแสดังกล่าวนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกิจกรรมการผลิตของอุตสาหกรรมไทย ซึ่งขั้นตอนการผลิตบางส่วนอาจจำเป็นต้องอาศัยการผลิตภายนอกประเทศมากขึ้น ทั้งในรูปแบบการนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากต่างประเทศ หรือการโยกย้ายสายการผลิตออกไปยังต่างประเทศ บทบาทของภาครัฐจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวคือ การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศ การให้ความช่วยเหลือกับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบให้สามารถปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด การดำเนินมาตรการแผนรองรับสำหรับอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มแข่งขันไม่ได้ รวมถึงนโยบายด้านแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยในการออกไปลงทุนในต่างประเทศควรต้องมีการดำเนินการเชิงบูรณาการอย่างจริงจังมากขึ้น เนื่องจากการลงทุนในต่างประเทศมีความเสี่ยงในหลายด้าน การให้สิทธิประโยชน์หรือการสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจจะออกไปลงทุนจึงอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องมีหน่วยงานในการให้คำปรึกษาและข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศ