ผลผลิตปูนซีเมนต์ในช่วง 9 เดือนแรกคิดเป็นปริมาณทั้งสิ้น 30.0 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 4.8 และมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 8.1 ส่วนการผลิตปูนเม็ดมีปริมาณทั้งสิ้น 30.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.6 จากที่เคยเพิ่มถึงร้อยละ 12.7 ในช่วงเดียวกันของปี 2548
ตลาดในประเทศ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศอยู่ที่ประมาณ 21.8 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่มียอดจำหน่ายที่ 22.3 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 2.5 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในปี 2549 อาจอยู่ที่ประมาณ 29.0 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2548 นอกจากนี้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2549 เป็นต้นไปหลังปัญหาน้ำท่วมได้คลี่คลายลง น่าจะมีการบูรณะซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับความชำรุดเสียหาย รวมทั้งกิจกรรมการก่อสร้างน่าจะกระเตื้องขึ้นหลังผ่านพ้นช่วงฤดูฝน ปัจจัยดังกล่าวน่าจะช่วยให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น
แนวโน้มราคา ราคาปูนในท้องตลาดมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามความต้องการปูนซีเมนต์ที่ลดลงส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ราคาเฉลี่ยของปูนซีเมนต์ผสมในท้องตลาด (ชนิดบรรจุ 50 ก.ก.) ซึ่งเป็นราคาค้าปลีกอยู่ที่ถุงละ 111.27 บาท เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ราคาเฉลี่ยถุงละ 109.46 บาท หรือเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.7 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะการแข่งขันของธุรกิจปูนซีเมนต์ อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกปูนซีเมนต์ในเดือนตุลาคม 2549 อยู่ที่ราคาถุงละ 115.57 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาปูนซีเมนต์ในเดือนเดียวกันของปี 2548 ซึ่งจำหน่ายที่ถุงละ 108.71 บาท ถึงร้อยละ 6.3 ทั้งนี้เป็นผลมาจากต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
ตลาดต่างประเทศ ปริมาณการส่งออกปูนซีเมนต์ไปยังต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนแรก มีการส่งออกสูงถึง 11.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุที่ทำให้การส่งออกขยายตัว สืบเนื่องจากการปรับตัวของผู้ผลิตที่หันไปขยายตลาดส่งออกในช่วงที่ตลาดในประเทศชะลอตัว โดยการส่งออกยังได้รับแรงหนุนจากการขยายการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้าน และการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2549 ตลาดส่งออกปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดของไทยยังคงเป็นภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ (อาเซียน) คิดเป็นร้อยละ 39.0 ของมูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์ทั้งหมด โดยมีมูลค่าการส่งออกถึง 167.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.5 ทั้งนี้ ตลาดส่งออกที่สำคัญในอาเซียนได้แก่เวียดนาม กัมพูชา พม่า และลาว นอกจากนี้สหรัฐอเมริกาก็เป็นอีกตลาดหนึ่งที่ไทยส่งออกปูนซีเมนต์เป็นมูลค่าสูงเช่นกัน โดยมีมูลค่าสูงถึง 135.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 34.8 โดยรวมปริมาณปูนซีเมนต์ที่มีการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 37.0 ของผลผลิตปูนซีเมนต์ในช่วงเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมาผู้ส่งออกต้องประสบกับปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัญหาค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้การขนส่งปูนซีเมนต์เป็นระยะทางไกลไม่คุ้มค่ามากนัก การขนส่งในระยะไกลๆ จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ที่ผ่านมาผู้ผลิตจึงนิยมจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศมากกว่าการส่งออกเนื่องจากกำไรจากการจำหน่ายในประเทศจะสูงกว่า แต่ในช่วงที่ตลาดในประเทศซบเซา ผู้ผลิตจะส่งออกปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นเพื่อลดปริมาณปูนซีเมนต์ส่วนเกิน
การผลิตโดยรวม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การผลิตปูนซีเมนต์ของไทยในปี 2549 จะมีปริมาณทั้งสิ้น 39.3 ล้านตัน เทียบกับ 37.9 ล้านตันในปี 2548 หรือขยายตัวร้อยละ 3.8 ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 6.3
แนวโน้มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ปี 2550
แนวโน้มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ปี 2550 คาดว่าแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศได้แก่การลงทุนในธุรกิจก่อสร้าง / อสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าการลงทุนในด้านการก่อสร้างในปี 2550 อาจขยายตัวร้อยละ 0.3-3.3 จากที่คาดว่าน่าจะขยายตัวร้อยละ 2.4 ในปี 2549 นอกจากนี้ ตลาดปูนซีเมนต์อาจได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เพื่อซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่เสียหายจากภัยน้ำท่วมในช่วงปลายปี 2549 จนถึงช่วงต้นปี 2550 และการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐที่เร็วขึ้นเพื่อใช้ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ส่งผลให้ความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศปี 2550 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 29.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ซึ่งมีปริมาณการจำหน่าย 29.0 ล้านตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 1.7
ทั้งนี้ การขยายตัวของตลาดในประเทศเป็นผลสืบเนื่องจากทิศทางการเมืองที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในปี2550 กอปรกับอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2550 ส่งผลให้ผู้บริโภคน่าจะมีความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น นอกจากนี้ต้นทุนพลังงานที่ลดลงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตวัตถุดิบก่อสร้างมีแนวโน้มปรับลดลงเช่นกัน โดยคาดว่าราคาน้ำมันเตาซึ่งผันแปรตามราคาน้ำมันดิบน่าจะมีเสถียรภาพต่อเนื่องถึงปี 2550 อนึ่ง ในปี 2550 ตัวแปรด้านอัตราดอกเบี้ย ราคาเชื้อเพลิง และเสถียรภาพทางการเมืองยังคงเป็นตัวแปรหลักที่จะมีผลต่อปริมาณความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ
ในด้านของการส่งออกปูนซีเมนต์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า การส่งออกปูนซีเมนต์ในปี 2550 อาจจะยังคงได้รับผลในเชิงลบจากอัตราค่าเงินบาทที่คาดว่าอาจจะแข็งค่าขึ้นได้อีกในช่วงปีหน้า ประกอบกับการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจหลักของโลกเช่น สหรัฐและสหภาพยุโรป จะมีการชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในตลาดโลก จะทำให้ปริมาณการส่งออกในปี 2550 จะอยู่ที่ประมาณ 14.1 ล้านตัน ลดลงจากปี 2549 ที่คาดว่าจะมีปริมาณการส่งออก 14.6 ล้านตัน หรือขยายตัวลดลงร้อยละ 3.2
แนวโน้มโดยรวมสำหรับปี 2550 จะเห็นได้ว่า ธุรกิจปูนซีเมนต์จะต้องพึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก โดยมีตัวแปรสำคัญซึ่งได้แก่การเจริญเติบโตในด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างของภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการในภาคธุรกิจก่อสร้างและที่อยู่อาศัย โดยคาดว่าการปรับตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินมาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2549 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ตั้งแต่ปลายปี 2549 เป็นต้นไปอาจจะทำให้การแข่งขันในธุรกิจปูนซีเมนต์ทวีความรุนแรงมากขึ้น และสร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการหันไปแข่งขันกันด้านราคากันมากขึ้น