ตลาดกุ้งออสเตรเลีย : โอกาสและอุปสรรคที่ผู้ส่งออกกุ้งไทยต้องฟันฝ่า

รัฐบาลออสเตรเลียได้เผยแพร่รายงาน Biosecurity Australia Policy Memorandum 2006/35 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2549 เรื่องการประเมินความเสี่ยงในกุ้งและผลิตภัณฑ์จากกุ้ง(Revised Draft Import Risk Analysis Report for Prawns and Prawn Products) เพื่อให้หน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องแสดงความคิดเห็นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการนำเข้ากุ้งที่ติดโรค 5 ชนิดคือโรคจุดขาว(White Sport Syndrome Virus : WSSV) โรคหัวเหลือง(Yellowhead Virus : YHV) โรคแคระแกร็น(Infectious Hypodermal and Haematopoietic Necrosis Virus : IHHNV) โรคทอร่าซินโดรม(Taura Syndrome Virus : TSV) และโรคเอ็นเอชพี(Necrotising Hepatopancreatitis Bacterium : NHPB) นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ การส่งกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปยังออสเตรเลียต้องมาจากพื้นที่เลี้ยงปลอดโรค ต้องเป็นกุ้งที่เอาหัว/เปลือกออก สินค้าประเภทสร้างมูลค่าเพิ่มต้องผ่านกระบวนการแปรรูปที่อุณหภูมิสูง ส่วนกุ้งต้มในโรงงานต้องอยู่ภายใต้การควบคุม ในขณะที่กุ้งต้มที่ปากบ่อต้องมีใบรับรองจากหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการแจ้งเวียนให้ประเทศคู่ค้าได้พิจารณา เสนอข้อคิดเห็น หรือข้อโต้แย้ง และต้องดำเนินการต่อเรื่องดังกล่าวภายใน 90 วันหรือภายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2550

อย่างไรก็ตาม ร่างประกาศนี้ทำให้เกิดเป็นข่าวว่าทางออสเตรเลียประกาศห้ามนำเข้ากุ้งโดยอ้างว่าเพื่อเป็นมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพที่จะป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคกุ้งจากกุ้งที่นำเข้า และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2549 ซึ่งทำให้เกิดความสับสนต่อเกษตรกรและผู้ค้ากุ้งในประเทศไทยเป็นอย่างมากว่าทางออสเตรเลียห้ามนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์แล้ว ทั้งที่จริงแล้วการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ยังคงเป็นไปตามปกติ แม้ว่าในขณะนี้กฎระเบียบดังกล่าวเป็นเพียงร่างข้อเสนอเท่านั้น แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าทางออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้าเพิ่มเติม ทำให้คาดการณ์ได้ว่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทยไปยังตลาดออสเตรเลียจะประสบปัญหาจากข้อกีดกันทางด้านสุขอนามัยในอนาคต ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณการบริโภคอาหารทะเลทั่วประเทศออสเตรเลียตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2549 เนื่องจากผู้บริโภควิตกเกี่ยวกับข่าวว่ากุ้งที่นำเข้าเพื่อใช้เป็นเหยื่อตกปลานั้นมีไวรัส ดังนั้นเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการจับกุ้งจากธรรมชาติและการเพาะเลี้ยงกุ้งของออสเตรเลีย ทำให้ออสเตรเลียต้องเข้มงวดในการนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์

ในปัจจุบันแม้ว่าออสเตรเลียจะไม่ใช่ตลาดหลักของการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย เนื่องจากในปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปยังออสเตรเลียนั้นคิดเป็นเพียงร้อยละ 2-3 ของมูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเท่านั้น แต่ออสเตรเลียจัดว่าเป็นตลาดส่งออกที่น่าสนใจ เนื่องจากไทยมีโอกาสอย่างมากในการขยายตลาดส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปยังออสเตรเลีย โดยปัจจุบันผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ต้องการขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ ทั้งนี้เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ซึ่งเท่ากับเป็นการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมกุ้งของไทยเมื่อเกิดปัญหาในการส่งออกไปยังตลาดส่งออกหลัก โดยที่ออสเตรเลียเป็นตลาดเป้าหมายใหม่ที่ไทยต้องการขยายการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ซึ่งการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปยังออสเตรเลียในช่วง 10 เดือนแรกในปี 2549 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2548 กล่าวคือ มูลค่าการส่งออกกุ้ง(กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง กุ้งต้ม กุ้งแห้ง)เท่ากับ 18.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 26.5 มูลค่าการส่งออกกุ้งแปรรูปเท่ากับ 22.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.8 ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2548 มูลค่าการส่งออกไปยังออสเตรเลียขยายตัวอย่างมากอันเป็นผลมาจากการจับกุ้งและการเพาะเลี้ยงกุ้งในออสเตรเลียลดลงจากต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน และการแข็งค่าของดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งส่งผลทำให้กุ้งและผลิตภัณฑ์นำเข้ามีราคาถูกกว่ากุ้งที่ผลิตได้ในประเทศออสเตรเลีย

ในปี 2548 ออสเตรเลียนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ 29,855 ตัน มูลค่า 257.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี 2547 แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 และร้อยละ 13.3 ตามลำดับ โดยร้อยละ 78.0 ของมูลค่าการนำเข้าเป็นการนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง กล่าวคือในปี 2548 ปริมาณการนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งเท่ากับ 22,590 ตัน มูลค่า 201,187 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี 2547 แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 และร้อยละ 9.6 ตามลำดับ ส่วนที่เหลือเป็นการนำเข้ากุ้งกระป๋องและกุ้งแปรรูป

การขยายการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดออสเตรเลียนั้นมีอุปสรรคสำคัญ ดังนี้
1.ออสเตรเลียสามารถผลิตและส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันการผลิตกุ้งของออสเตรเลียส่วนใหญ่เป็นกุ้งที่จับได้จากธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่เพียง 2 รัฐคือ รัฐนิวเซาท์เวลล์และรัฐ ควีนสแลนด์เท่านั้นที่มีการผลิตกุ้งทั้งกุ้งที่จับได้จากธรรมชาติและกุ้งที่ได้จากการเพาะเลี้ยง โดยปริมาณการผลิตกุ้งของรัฐควีนสแลนด์นั้นคิดเป็นร้อยละ 46.5 ของปริมาณการผลิตกุ้งทั้งหมดของออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าจับตามองคือ
-การขยายตัวของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งในออสเตรเลีย โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงในรัฐควีนสแลนด์และนิวเซาท์เวลล์ มีการคาดการณ์ว่าในช่วงปี 2550-2554 ปริมาณกุ้งที่จับจากธรรมชาติของออสเตรเลียมีแนวโน้มคงที่ ในขณะที่ปริมาณกุ้งที่ได้จากการเพาะเลี้ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้นในอนาคตคาดการณ์ว่าออสเตรเลียจะลดการนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ และยังมีความสามารถส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ผู้เลี้ยงกุ้งในออสเตรเลียต้องสร้างความแตกต่างให้ผู้บริโภคในประเทศแยกได้อย่างชัดเจนระหว่างกุ้งที่ผลิตในประเทศและกุ้งที่นำเข้า ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของประเทศ

-ออสเตรเลียมีการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ในปี 2548 โดยมีปริมาณการส่งออกเท่ากับ 10,302 ตัน มูลค่า 163.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกส่วนใหญ่เป็นกุ้งแช่เย็นแช่แข็ง ตลาดส่งออกหลักของกุ้งแช่เย็นแช่แข็งประเภทกุ้งไม่มีหัวของออสเตรเลียคือ ญี่ปุ่นมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 54.2 ส่วนตลาดส่งออกหลักของกุ้งแช่เย็นแช่แข็งประเภทกุ้งทั้งตัวคือ ญี่ปุ่นมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 44.9 สเปนร้อยละ 17.3 จีนร้อยละ 12.8 และฮ่องกงร้อยละ 6.3 นอกจากนี้ไทยก็เป็นตลาดส่งออกกุ้งทั้งตัวของออสเตรเลียเช่นกัน แม้ว่าปัจจุบันทั้งปริมาณและมูลค่าที่ส่งออกมายังไทยนั้นจะไม่มากนักก็ตาม

2.คู่แข่งในตลาดกุ้งและผลิตภัณฑ์ในตลาดออสเตรเลีย การพิจารณาคู่แข่งขันนั้นต้องพิจารณาแยกตามประเภทกุ้งและผลิตภัณฑ์ที่ออสเตรเลียนำเข้า ดังนี้

-กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ในตลาดออสเตรเลียปัจจุบันเวียดนามครองอันดับหนึ่ง โดยมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 34.6 ของมูลค่าการนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง และไทยมาเป็นอันดับสอง โดยมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 22.6 ประเด็นที่น่าสังเกตคือ ไทยเคยครองอันดับหนึ่งในการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งในตลาดออสเตรเลีย แต่เวียดนามสามารถแซงไทยขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งได้ในปี 2547 หลังจากนั้นสัดส่วนตลาดของเวียดนามนั้นทิ้งห่างจากไทยอย่างมาก กล่าวคือ ในปี 2547 สัดส่วนตลาดของเวียดนามเท่ากับร้อยละ 25.7 ส่วนไทยมีสัดส่วนตลาด 24.1 นอกจากเวียดนามจะเบียดแย่งตลาดจากไทยไปได้แล้ว คู่แข่งที่กำลังมาแรงคือ สิงคโปร์ ปาปัวนิวกินี นิวคาลิโดเนีย และพม่า ซึ่งออสเตรเลียหันไปนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งจากประเทศเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2548

-กุ้งกระป๋อง ไทยครองอันดับหนึ่งในตลาดออสเตรเลียมาโดยตลอด โดยมีสัดส่วนตลาดร้อยละ 61.0 ของมูลค่าการนำเข้า อย่างไรก็ตามคู่แข่งที่น่าจับตามองในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้คือ มาเลเซียและเวียดนาม โดยการส่งออกกุ้งกระป๋องของมาเลเซียกลับมามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งในปี 2548 หลังจากที่การส่งออกไปออสเตรเลียชะลอตัวลงในปี 2547 ส่วนการส่งออกกุ้งกระป๋องของเวียดนามอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของเวียดนามแล้วสูงกว่าไทย เพียงแต่ในปัจจุบันทั้งปริมาณและมูลค่ากุ้งกระป๋องในตลาดออสเตรเลียของเวียดนามยังไม่สูงมากนัก กล่าวคือ ในปี 2548 ออสเตรเลียนำเข้ากุ้งกระป๋องจากไทยเท่ากับ 4,035 ตัน มูลค่า 34.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับปี 2547 แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 และร้อยละ 27.4 ตามลำดับในขณะที่ออสเตรเลียนำเข้ากุ้งกระป๋องจากเวียดนามเท่ากับ 437 ตัน มูลค่า 3.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับปี 2547 แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.0 และร้อยละ 41.4 ตามลำดับ

3.ออสเตรเลียกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขการนำเข้าที่เข้มงวด การกำหนดกฎเกณฑ์การนำเข้าที่เข้มงวดโดยอ้างในเรื่องสุขอนามัยของผู้บริโภค รวมทั้งเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับกุ้งในประเทศ ซึ่งมาตรการเหล่านี้นับเป็นการสร้างการกีดกันการนำเข้าที่ไม่ใช่มาตรการทางด้านภาษี โดยเฉพาะการร่างกฎเกณฑ์ล่าสุดที่กำลังดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องแสดงความคิดเห็นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการนำเข้ากุ้งที่ติดโรค ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกุ้งในออสเตรเลีย แม้ว่ารัฐบาลและผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทยจะมั่นใจในเรื่องระบบการเลี้ยงและขั้นตอนการผลิต เนื่องจากกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทยเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพในระดับสากล แต่ประเด็นในเรื่องเงื่อนไขเพิ่มเติมที่สินค้าประเภทสร้างมูลค่าเพิ่มต้องผ่านกระบวนการแปรรูปที่อุณหภูมิสูง ส่วนกุ้งต้มในโรงงานต้องอยู่ภายใต้การควบคุม ในขณะที่กุ้งต้มที่ปากบ่อต้องมีใบรับรองจากหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับของออสเตรเลียนั้นนับว่าเป็นการกีดกันในการขยายตลาดกุ้งแปรรูปของไทย

แม้ว่าในปัจจุบันตลาดออสเตรเลียจะไม่ใช่ตลาดส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์หลักของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกเพียงร้อยละ 2-3 ของมูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเท่านั้น แต่ออสเตรเลียก็นับว่าเป็นตลาดที่ไทยมุ่งหวังจะขยายการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกุ้งทั้งระบบในประเทศไทยเมื่อเกิดปัญหากับตลาดส่งออกหลัก การส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปยังออสเตรเลียต้องเผชิญปัญหาการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม สิงคโปร์ นิวคาลิโดเนีย และพม่า รวมทั้งออสเตรเลียยังมีการขยายอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้ง ทำให้ในอนาคตออสเตรเลียมีแนวโน้มลดการพึ่งพิงการนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ และหันมาเป็นประเทศผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ โดยตลาดส่งออกหลักของออสเตรเลียในปัจจุบัน คือ ญี่ปุ่น จีน สเปน และฮ่องกง นอกจากนี้ทางรัฐบาลออสเตรเลียยังได้รับการกดดันจากผู้เลี้ยงกุ้งในประเทศให้ออกมาตรการเข้มงวดในการนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ เนื่องจากในปัจจุบันผู้เลี้ยงกุ้งในประเทศประสบปัญหาในการแข่งขันในด้านราคากับกุ้งและผลิตภัณฑ์ราคาถูกที่นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นอนาคตของการขยายตลาดกุ้งและผลิตภัณฑ์ในออสเตรเลียสำหรับผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลากหลายอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน