การประชุมรอบแรกของปี … คาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 5.25 ตามเดิม

ในวันที่ 30-31 มกราคม 2550 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะมีการประชุมรอบแรกของปีเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบายการเงิน หรือทิศทางอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ซึ่งทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 5.25 นับจากที่เฟดได้ยุติวงจรขาขึ้นของนโยบายอัตราดอกเบี้ยมาตั้งแต่กลางปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เฟดคงจะมีมติให้ยืนอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 5.25 ตามเดิม ในการประชุมวันที่ 30-31 มกราคมนี้ โดยปัจจัยแวดล้อมประกอบการคาดการณ์ดังกล่าว สามารถสรุปได้ดังนี้ :-

อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังสูง คาดว่าจะยังคงเป็นน้ำหนักหลักสำหรับการตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด

จากข้อมูลที่ประกาศออกมาล่าสุด บ่งชี้ว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังคงมีระดับสูง โดย
อัตราเงินเฟ้อทางด้านผู้บริโภค (Consumer Price Inflation) อัตราทั่วไปในเดือนธันวาคม 2549 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.0 ในเดือนพฤศจิกายน ส่วนอัตราพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ 2.6

อัตราเงินเฟ้อทางด้านผู้ผลิตสำหรับสินค้าขั้นสุดท้าย (Producer Price Inflation for Finished Goods) อัตราทั่วไปในเดือนธันวาคม 2549 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ปรับขึ้นจากร้อยละ 0.9 ในเดือนพฤศจิกายน เช่นเดียวกับอัตราพื้นฐานที่ขยับขึ้นมาที่ร้อยละ 2.0 จากร้อยละ 1.8 ในเดือนก่อนหน้า

อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคาการใช้จ่ายผู้บริโภคส่วนบุคคล (Personal Consumption Expenditure Price Inflation) อัตราทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2549 อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ปรับขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในเดือนตุลาคม ในขณะที่อัตราพื้นฐาน ซึ่งเป็นตัวแปรที่เฟดมักใช้ประกอบการพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ย อยู่ที่ร้อยละ 2.2 โดยแม้จะลดลงจากร้อยละ 2.4 ในเดือนก่อนหน้า แต่ก็ยังคงสูงกว่ากรอบที่เฟดเห็นว่าเป็นระดับปกติ (comfort zone) ที่ไม่เกินร้อยละ 2.0

ทั้งนี้ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีระดับสูงดังกล่าว คาดว่าจะยังคงเป็นน้ำหนักหลักที่ทำให้เฟด มีมติคงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 5.25 ในการประชุมรอบแรกของปีนี้ ในขณะที่ แม้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะมีทิศทางที่ลดต่ำลงชัดเจน อีกทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงอันเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดในช่วงกลางปี 2547-กลางปี 2549 อาจทำให้เฟดคาดหวังที่จะเห็นแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่อนคลายลงตามลำดับในระยะข้างหน้า แต่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ไม่ได้ชะลอตัวลงรุนแรง ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการปรับลดลงของราคาน้ำมัน อาจเกื้อหนุนให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อไม่อ่อนตัวลงมาเร็วเท่าที่เฟดคาดหมายไว้ นั่นย่อมหมายความว่า การที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง

การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจไม่รุนแรงเท่าที่เคยกังวล

นับจากการประชุมรอบก่อนหน้า (12 ธันวาคม 2549) จนถึงขณะนี้ รายงานข้อมูลเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ยังคงให้ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับที่น่าพอใจ โดยที่ยังไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงตามที่เคยกังวลไว้ โดยเครื่องชี้สำคัญๆ ดังกล่าว ได้แก่

เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ยอดขายบ้านมือสองในเดือนธันวาคม 2549 จะลดลงสู่ 6.22 ล้านยูนิต จาก 6.27 ล้านยูนิตในเดือนพฤศจิกายน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย แต่ยอดขายบ้านใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดมาที่ 1.12 ล้านยูนิตในเดือนธันวาคม เทียบกับ 1.07 ล้านยูนิตในเดือนก่อนหน้า อีกทั้งราคาบ้านมือสองโดยเฉลี่ยทั่วประเทศในปี 2549 ที่ยังทรงตัวที่ 222,000 ดอลลาร์ฯ เท่ากับในปี 2548 ตลอดจนปริมาณสต็อกบ้านสำหรับขายที่ลดลงร้อยละ 7.9 มาที่ 3.508 ล้านยูนิต ณ สิ้นเดือนธันวาคม ได้บ่งชี้ว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯยังคงปรับตัวอย่างมีเสถียรภาพ

ตลาดแรงงาน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้น 1.67 แสนตำแหน่งในเดือนธันวาคม เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 1.54 แสนตำแหน่งในเดือนก่อน ส่งผลให้ทั้งปี 2549 เศรษฐกิจสหรัฐฯจ้างงานเพิ่มขึ้นแล้ว 1.53 แสนตำแหน่งเฉลี่ยต่อเดือน ซึ่งเป็นขนาดการเพิ่มขึ้นที่น่าจะสามารถรองรับการเติบโตของประชากรแรงงานได้ ประกอบกับอัตราการว่างงานที่ยังทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ใกล้เคียงกับระดับศักยภาพ โดยอาจกล่าวได้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา

ดัชนีภาคการผลิตและภาคการบริการ สถาบันจัดการด้านอุปทาน ISM (Institute for Supply Management) รายงานว่า ในเดือนธันวาคม 2549 ดัชนีภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 51.4 เพิ่มขึ้นจาก 49.5 ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ดัชนีภาคการบริการปรับตัวลงมาที่ 57.1 เทียบกับ 58.9 ในเดือนก่อน กระนั้นก็ดี ดัชนีทั้งสองยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการของสหรัฐฯยังอยู่ในภาวะขยายตัว

ภาวะอุตสาหกรรม ในเดือนธันวาคม ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 0.4 จากเดือนก่อนหน้า เทียบกับที่หดตัวลงต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตขยับขึ้นมาที่ร้อยละ 81.8 จากร้อยละ 81.6 ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนว่า การชะลอตัวลงของภาวะอุตสาหกรรมในสหรัฐฯไม่ได้เป็นไปในลักษณะที่รุนแรง

ทั้งนี้ จากเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญๆ ของสหรัฐฯที่ยังมีทิศทางการปรับตัวในระดับที่น่าพอใจในช่วงปลายปี 2549 ที่ผ่านมา ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เฟดยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 30-31 มกราคมนี้

ความเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า บ่งชี้การคาดการณ์ของตลาดต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ว่าอาจจะเลื่อนไปเป็นในช่วงปลายปี

การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า หรือ Interest-rate futures ล่าสุดวันที่ 26 มกราคม 2550 บ่งชี้ว่า ตลาดมองความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ว่ามีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น โดยตลาดได้เลื่อนการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดว่าอาจจะไปเกิดขึ้นในช่วงปลายปี หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยตลอดทั้งปี 2550 นี้ จากเดิมที่ส่วนใหญ่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งปีแรก

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด คงจะมีมติให้ยืนอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 5.25 ตามเดิมในการประชุมรอบแรกของปีในวันที่ 30-31 มกราคม 2550 นี้ เนื่องจากเฟดน่าจะยังให้น้ำหนักหลักอยู่ที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงมีระดับสูง ในขณะที่เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯยังคงเติบโตค่อนข้างมีเสถียรภาพหรือไม่ได้ชะลอตัวลงมากเท่าที่เคยกังวล ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯยังสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจไว้ในระดับที่น่าพอใจได้อย่างต่อเนื่อง ความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ก็คงจะมีน้อยลง ส่งผลให้เงินดอลลาร์ฯอาจจะมีแนวโน้มไม่ปรับตัวอ่อนค่าลงมากเท่าที่เคยคาดการณ์กันไว้เดิม นั่นอาจหมายความว่า ค่าเงินสกุลภูมิภาค รวมทั้งค่าเงินบาทของไทย อาจมีแนวโน้มที่จะไม่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมจะเป็นผลดีในการช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับการดำเนินนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนของทางการไทยในระยะต่อไป