โรเบิร์ต บ๊อชประเทศไทยแจงผลประกอบการปีที่แล้วโต 72 %

จากภาพ :เปาโล เฟอร์ไรรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด

บ๊อช ประกาศนโยบายเชิงรุกปี 50 เดินหน้าเน้นคุณภาพ และนวัตกรรมใหม่ทุกส่วนงาน เพื่อครองความเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยียานยนต์ ผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย เครื่องมือไฟฟ้า และเครื่องเสียงรถยนต์ ตั้งเป้าเติบโตไว้ไม่ต่ำกว่า 2 หลัก หลังประสบความสำเร็จจากปี 2549 ที่ทำยอดโตกว่า 72% มูลค่ารวมกว่า 4,800 ล้านบาท

นายเปาโล เฟอร์ไรรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด เปิดเผยถึงนโยบายปี 2550 ของบริษัท ว่าเน้นดำเนินงานเชิงรุกในทุกสายงาน โดยยังคงเน้นนวัตกรรมความเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยีในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยียานยนต์ ทั้งในส่วนของสายการผลิต และ ในส่วนของการขายและบริการ, ด้านเครื่องมือไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงเครื่องเสียงรถยนต์บลาวฟุ้งค์ พร้อมวางเป้ายอดขายเติบโตไม่น้อยกว่าตัวเลข 2 หลัก

สำหรับผลประกอบการรวมเบื้องต้น สำหรับกลุ่มบริษัท บ๊อช ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศเยอรมนี ปี 2549 ที่ผ่านมายอดขายรวมเป็นไปตามเป้าหมาย คือ 43.7 พันล้านยูโร (กว่า 2,100 พันล้านบาท) เติบโตขึ้น 5 % โดยสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภค และเทคโนโลยีทางการก่อสร้าง อย่างไรก็ตามเอเชียแปซิฟิคยังคงเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญและมีการเติบโตสูงมาก โดยมียอดเติบโตสูงถึง 13 % และตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคนี้ ให้เป็น 25 % ในปี พ.ศ. 2558

ในส่วนของบ๊อชในประเทศไทยมีผลประกอบการรวมอยู่ที่ 4,800 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 72% ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างสูงของบ๊อช โดยประมาณ 40% ของผลประกอบการเป็นยอดขายที่มาจาก บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด ซึ่งรับผิดชอบด้านการขายและจัดจำหน่าย อะไหล่รถยนต์ เครื่องมือไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย และ เครื่องเสียงรถยนต์บลาวฟุ้งค์ และอีกประมาณ 60%มาจาก บริษัท บ๊อช ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งรับผิดชอบด้านการผลิตและประกอบชิ้นส่วนยานยนต์ในระบบเบรกและระบบดีเซลคอมมอนเรลสำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศเกือบทุกข่ายรวมถึงการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในเขตอาเซี่ยนอีกด้วย

“การเติบโตอย่างสูงของบ๊อชในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว มาจากการที่บริษัทฯ มีการขยายงานและการผลิตในระบบเบรกและระบบดีเซลคอมมอนเรล สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวย่างหนึ่งที่สำคัญของบริษัท นอกจากนี้ ในส่วนของภาคธุรกิจด้านการขายและการบริการนั้น ธุรกิจในส่วนของผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัยก็ประสบความสำเร็จและมีการเติบโตเป็นอย่างสูงในปีที่แล้วเช่นกัน ซึ่งเราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการติดตั้งผลิตภัณฑ์ของระบบรักษาความปลอดภัยบ๊อชในหน่วยงานสำคัญ ๆ หลายแห่ง อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ “ นายเปาโล กล่าว

นอกจากนี้ ในส่วนของประเทศไทย บ๊อชยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ตัวเลข 2 หลัก โดยจะใช้กลยุทธ์ทางด้าน ‘QIK’ ซึ่งหมายถึง คุณภาพ นวัตกรรม และ ความใส่ใจต่อลูกค้าของบ๊อช มาปรับใช้กับทุกกระบวนการและทุกกิจกรรม เพื่อคงความเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรม และสรรสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ดังสโลแกนของบริษัท ‘ เทคโนโลยีเพื่อชีวิต‘

ทางด้านนายมานพ หอมสุวรรณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2549 ที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัย มีอัตราการเติบโตดีมาก โดยเฉพาะโทรทัศน์วงจรปิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตของยอดขายมากที่สุด ปัจจัยสำคัญมาจากการตื่นตัวในเรื่องการปรับปรุงและเสริมสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่มีมาตรฐานสูง เนื่องจากผู้บริโภคเล็งเห็นความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์คุณภาพกับผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่บ่อยครั้ง ไม่สามารถจับภาพผู้ต้องสงสัยได้ หรือไม่สามารถให้รายละเอียดที่ชัดเจนจนสามารถนำไปดำเนินคดีได้ ทำให้การลงทุนเกือบจะสูญเปล่า ซึ่งบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจให้ทำการติดตั้งผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัยของบ๊อช ในหลายๆ หน่วยงานที่สำคัญ อาทิ โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ / อาคารสินค้าปลอดภาษี , การรถไฟแห่งประเทศไทย , รวมถึงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดรอบเกาะภูเก็ต และ สำนักงานแห่งใหม่ของการบินไทย ซึ่งถือเป็นสำนักงานที่มีกล้องโทรทัศน์วงจรปิดระบบ IP ที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียแปซิฟิค

สำหรับแผนการตลาด และเป้าหมายการเติบโตในปี 2550 วางเป้าหมายการเติบโตไว้ไม่น้อยกว่า 2 เท่าของตลาด ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 7.5 % ซึ่งคาดว่าน่าจะประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะธุรกิจระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม บ๊อชยังคงมุ่งเน้นการนำเสนอการใช้เทคโนโลยีระดับสูง เพื่อช่วยบรรเทาหรือป้องกันปัญหาความรุนแรง ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยให้สังคมเกิดความสงบมากยิ่งขึ้น โดยเน้นให้ผู้บริโภคเห็นถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีทันสมัย ที่เหมาะกับทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะมุ่งเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ที่มีความเชี่ยวชาญและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในแต่ละตลาด

นายมานพ กล่าวเพิ่มเติมถึง ทิศทาง และศักยภาพของตลาดไทยในปี 2550 ในภาพรวมของธุรกิจสื่อสาร และระบบรักษาความปลอดภัย มีปัจจัยผลักดันการเติบโต จาก 2 ด้าน คือการบังคับใช้กฎหมายตรวจสอบอาคาร และสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ บ๊อชมุ่งเน้นการนำเสนอระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยแก้ไขและป้องกันปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนและเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ ในขณะเดียวกันจะช่วยเสริมจุดอ่อนของการต้องพึ่งพาการทำงานของผู้ปฏิบัติแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยบ๊อชจะทำการเปิดตัวโปรแกรมซอฟท์แวร์อัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ จากภาพโดยทางเทคนิคที่เรียกว่า Video Content Analysis (VCA) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นเช่นการจับวัตถุต้องสงสัย พฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือข้อมูลทางสถิติอื่นๆ เพื่อป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที