เค.ซี. เผยผลประกอบการปี 2549 กำไรสุทธิ 123.08 ล้านบาท

เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ ระบุรายได้รวมปี 2549 อยู่ที่ 924.14 ล้านบาท โดยคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40.97% และมีกำไรสุทธิ 123.08 ล้านบาท สำหรับปี 2550 เชื่อปัจจัยบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงและความชัดเจนทางการเมือง ฟื้นความเชื่อมั่นและกำลังผู้บริโภค ตั้งเป้าการเติบโต 15% จากยอดขายบ้านราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีปริมาณสินค้าในตลาดไม่มาก เนื่องจากข้อจำกัดต้นทุนราคาที่ดิน

(1 มีนาคม 2550) นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “KC” เปิดเผยผลประกอบการประจำปี 2549 ว่า จากปัจจัยลบทั้งราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาทางการเมือง สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ต่างๆ และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านออกไป จนตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างมากนั้น เป็นสาเหตุสำคัญให้รายได้สุทธิของบริษัทฯ ลดลง 14.17% หรือ 152.60 ล้านบาท มาอยู่ที่ 924.14 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2548 ซึ่งมีรายได้สุทธิ 1,076.74 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4/2549 รายได้สุทธิอยู่ที่ 216.41 ล้านบาท ไม่เติบโตไปเป็นตามที่คาดการณ์ เหตุเพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากมาตรการกันสำรองเงินทุนต่างชาติ 30% เพื่อสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย และเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นอกจากนี้ การที่บริษัทฯ ใช้เงินกู้จากธนาคารเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 3 แห่ง ในปี 2549 โดยมิได้มีการเพิ่มทุนในปี 2548 ตามที่ได้วางแผนไว้ ทำให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 44.85 ล้านบาท คิดเป็น 4.85% ของรายได้ เมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย 9.30 ล้านบาท คิดเป็น 0.86% ของรายได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ และข้อได้เปรียบที่มีที่ดินต้นทุนเก่า ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2549 อยู่ที่ 40.97% เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ 37.4% ขณะที่มีต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร อยู่ที่ 545.27 ล้านบาท และ 210.57 ล้านบาท จาก 887.74 ล้านบาท และ 213.63 ล้านบาท ในปี 2548 ตามลำดับ โดยผลประกอบการปี 2549 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 123.08 ล้านบาท หรือ 0.14 บาทต่อหุ้น ลดลง 56.55 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2548 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 179.63 ล้านบาท หรือ 0.20 บาทต่อหุ้น

“บริษัทฯ เชื่อว่าราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยเริ่มคงที่และมีแนวโน้มลดลงในปี 2550 ประกอบกับสถานการณ์การเมืองและ เศรษฐกิจด้านอื่นๆ ที่มีทิศทางดีขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกที่จะกระตุ้นความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมา โดยในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ บนทำเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับสูง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับราคา 2 – 3 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ตลาดยังมีความต้องการสูง ขณะที่มีสินค้าในตลาดน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่หันไปพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวสูงมากขึ้น รวมทั้ง ราคาที่ดินที่ปรับตัวขึ้นสูงในปัจจุบัน เป็นข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในระดับราคาดังกล่าว เป็นไปได้ยากขึ้น”

ปัจจุบัน เค.ซี.มีโครงการระหว่างดำเนินการทั้งหมด 18 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 2 – 3 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ “เค.ซี.การ์เด้น” “เค.ซี.กรีนวิลล์” และ“เค.ซี.พาร์ควิว” จำนวน 8 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 1,600.00 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้ชื่อ “เค.ซี. เนเชอรัลวิลล์” และ “เค.ซี. เลควิว” จำนวน 4 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 2,400.00 ล้านบาท โครงการทาวน์เฮ้าท์ ราคา 0.8 – 1.2 ล้านบาท จำนวน 5 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 2,000.00 ล้านบาท และโครงการจัดสรรที่ดินเปล่า 1 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือประมาณ 380.00 ล้านบาท นอกจากนี้ ในปี 2550 นี้ บริษัทฯ จะเปิดโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ เค.ซี.เนเชอรัล ซิตี้ (รามคำแหง) เฟส 1 ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ราคาเฉลี่ย 5.3 ล้านบาท จำนวน 317 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 1,680 ล้านบาท และเค.ซี.สุวินทวงศ์ 2 ซึ่งเป็นโครงการที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าท์ และอาคารพาณิชย์ ราคาเฉลี่ย 1.13 ล้านบาท จำนวน 940 ยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 1,060 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มีที่ดินรอการพัฒนา (Land Bank) มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งหากรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบัน จะสามารถดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องได้อีก 3 – 4 ปี

“การที่เค.ซี.มีสินค้าที่อยู่อาศัยแนวราบในทุกระดับราคา เพื่อรองรับความต้องการซื้อของผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเฉพาะบ้านราคา 2 – 3 ล้านบาท ซึ่งตลาดยังมีความต้องการสูง ขณะที่จำนวนสินค้าดังกล่าวและคู่แข่งในตลาดมีน้อยลง รวมทั้ง การควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับมีแผนงานในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการบริษัทฯ ในปีนี้ มีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปี 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งด้วยสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมือง ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 15% และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับใกล้เคียง 40% ต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว