ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2550 มีกำไรสุทธิ 3,699 ล้านบาทเพิ่มร้อยละ 207 จากไตรมาสก่อน โดยสินเชื่อ SME และสินเชื่อเช่าซื้อขยายตัวสูง
ธนาคารไทยพาณิชย์แจ้งผลประกอบการเบื้องต้นสำหรับไตรมาส 1/2550 (งบการเงินรวม) ก่อนการสอบทานโดยผู้สอบบัญชีอิสระ มีกำไรสุทธิจำนวน 3,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,495 ล้านบาทหรือร้อยละ 207.3 จากไตรมาสก่อน และลดลง 523 ล้านบาทหรือร้อยละ 12.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยแต่ผลการดำเนินงานโดยรวมของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ โดยสินเชื่อมีอัตราเติบโตสูงกว่าตลาด เพิ่มขึ้น 17,857 ล้านบาทจากสิ้นปี 2549 โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจ (SME) และสินเชื่อเช่าซื้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 และ 10.2 ตามลำดับ เมื่อประกอบกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) ที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.54 รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิจึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตร้อยละ 2.0 จากไตรมาสก่อน
ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า
“สำหรับไตรมาสที่หนึ่งปี 2550 ธนาคารสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยนัก เป็นผลมาจากความแข็งแกร่งและการเตรียมความพร้อมในทุกด้านของธนาคาร”
“นโยบายธุรกิจสำหรับระยะเวลาที่เหลือของปี 2550 นี้ ธนาคารไทยพาณิชย์จะยังคงดำเนินกลยุทธ์ในการขยายส่วนแบ่งตลาดสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อ SME และเช่าซื้อ พร้อมทั้งรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจลูกค้าบุคคล ทั้งนี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังค่อนข้างผันผวน ธนาคารจะให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง และคุณภาพสินเชื่อด้วย”
คุณกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวเสริมว่า
“ผลประกอบการของธนาคารในไตรมาสที่ผ่านมานั้นเป็นที่น่าพอใจ สินเชื่อยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจ SME และเช่าซื้อที่ขยายตัวได้ดีใกล้เคียงกับเป้าหมาย นอกจากนี้ธนาคารสามารถบริหารให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) ปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 3.54 ขณะเดียวกันรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะรายได้จากการปริวรรตและรายได้อื่นจากบริษัทย่อย”
“ในไตรมาสนี้ธนาคารตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในส่วนของธนาคารจำนวน 900 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับภาวะตลาด ณ สิ้นไตรมาส 1/2550 ธนาคารมีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพสุทธิหรือ Net NPL จำนวน 23,428 ล้านบาทหรือร้อยละ 3.4 ซึ่งธนาคารมีนโยบายที่จะบริหาร NPL ให้มีสัดส่วนลดลงเป็นลำดับ”