“กลุ่มพันธมิตรธุรกิจภาพยนตร์” ประกอบด้วย “บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด” โดยคุณอานนท์ อัศวานันท์ ประธานกรรมการบริหาร และทนายความประจำบริษัท คุณสุเมธ สอนสุทธิ์, “บริษัท ยูไนเต็ด โฮม เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด” และ “บริษัท แคททาลิสท์ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด” โดยกรรมการผู้จัดการ คุณนิติ ถาวรวณิชย์, ผู้จัดการทั่วไป คุณนิรันดร์ ถาวรวณิชย์ และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด คุณวีระสิทธิ์ คุณวรานนท์, “บริษัท อีวีเอส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด” โดยประธานกรรมการบริษัท ดร.เสกสรร สุนันท์กิ่งเพชร, “บริษัท แฮปปี้ โฮม จำกัด” โดยกรรมการผู้จัดการ คุณบุญสม รัตนจตุพร, “บริษัท โรส มีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์ เทนเม้นท์ จำกัด” โดยประธานบริษัท คุณพีรพล มนต์พิชิต และกรรมการผู้จัดการ คุณวัฒนี มนต์พิชิต, “บริษัท พรีเมี่ยม ดิจิตอล เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด” โดยกรรมการผู้จัดการ คุณสุริยัน บุญยมโนนุกุล และ “Pacific Marketing & Entertainment Group Ltd.” โดย Managing Director Mr. P.J. Leone และทนายความประจำบริษัท คุณโชคชัย มะลิซ้อน ร่วมกับ “กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี” (บก.ปศท.) นำโดย พลตำรวจตรี วิสุทธิ์ วานิชบุตร ได้ร่วมกันสร้างมาตรการกำจัดแผ่นผี ซีดีเถื่อน ทำนโยบายจับจริง กวาดล้างจริง!!! เพื่อให้การละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ในประเทศไทยลดลง
คุณนิรันดร์ ถาวรวณิชย์ ตัวแทน “กลุ่มพันธมิตรธุรกิจภาพยนตร์” ได้พูดถึงมาตรการกำจัดแผ่นผีซีดีเถื่อนที่ทาง บก.ปศท. เป็นผู้ดำเนินการว่า… “ทางผู้บริหารของค่ายภาพยนตร์ที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรธุรกิจภาพยนตร์ได้เดินทางไปรับทราบนโยบาย และแสดงความขอบคุณ พลตำรวจตรี วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (บก.ปศท.) ที่ได้มีการจับกุมผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการระดมกำลังนำจับผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ล็อทใหญ่ได้ของกลางเป็นแผ่นภาพยนตร์ได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น และยังคงมีการนำจับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ต่อไปอย่างเข้มงวด ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรธุรกิจภาพยนตร์ก็ได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้น เพื่อช่วยติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ที่ผลิตซีดีหรือดีวีดีภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์อีกทางหนึ่งด้วย หากมีการนำจับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ทางเราจะดำเนินการฟ้องร้องให้ถึงที่สุด ซึ่งทางกฎหมายได้ระบุเอาไว้ว่าผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อทำการค้า มีโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรธุรกิจภาพยนตร์มั่นใจว่ามาตรการเหล่านี้จะทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ในประเทศไทยลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง”