ธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 1 ปี 2550 ชะลอตัว: เร่งปรับกลยุทธ์ฝ่าปัจจัยลบ

เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมายังคงส่งสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวลดลง อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งสะท้อนโดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิตเช่นกัน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการต่างแข่งกันทำตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอย่างหนัก โดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์บัตรเครดิต การออกบัตรเครดิตร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้ผู้ถือบัตรเครดิตหันมาใช้จ่ายซื้อสินค้าผ่านบัตรแทนเงินสดมากขึ้น แต่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 1 ปี 2550 ยังคงชะลอลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการขยายตัวธุรกิจบัตรเครดิตแล้วนั้น ผู้ประกอบการยังต้องดำเนินธุรกิจภายใต้ความเสี่ยงในเรื่องของความสามารถในการผ่อนชำระบัตรเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากการปรับขึ้นการผ่อนชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 10% ของยอดคงค้าง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20% ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจได้ชะลอตัวลงจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้สรุปประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 1 ปี 2550 และแนวโน้มการดำเนินการธุรกิจบัตรเครดิตท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดังต่อไปนี้

ประเด็นสำคัญของธุรกิจบัตรเครดิตไตรมาส 1 ของปี 2550
ทั้งนี้ จากการพิจารณาตัวเลขบัตรเครดิต ณ ไตรมาส 1 ปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า:

ปริมาณบัตรเครดิตไตรมาส 1 ปี 2550 ชะลอตัวลง ยกเว้นสาขาธนาคารต่างประเทศ
ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตในไตรมาส 1 ปี 2550 มีจำนวน 11,087,434 บัตร และขยายตัว 9.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 14.16% ในไตรมาส 1 ปี 2549 เมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ปริมาณบัตรเครดิต กลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศยังคงมีอัตราการขยายตัวของบัตรเครดิตใหม่เพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 1,233,251 บัตร ขยายตัว 14.18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัว 8.79% ในไตรมาส 1 ปี 2549

ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นโดย มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 4,441,091 บัตร และมีการเติบโต 12.73% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 19.72% ในไตรมาส 1 ปี 2549 และสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-Bank มีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 5,413,001 บัตร ขยายตัว 5.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอัตราการขยายตัวลดลงกว่าที่ขยายตัว 11.36% ในไตรมาส 1 ปี 2549

ทั้งนี้ปริมาณบัตรเครดิตที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงสาเหตุน่าจะมาจากผู้ประกอบการทุกกลุ่ม มีความระมัดระวังมากขึ้นในการออกบัตรใหม่มากขึ้น เพื่อควบคุมคุณภาพของสินเชื่อ ผู้ถือบัตรเครดิตยกเลิกบัตรเครดิตที่มีอยู่เกินความจำเป็น และอีกสาเหตุหนึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้ประกอบการได้ทำการยกเลิกบัตรเครดิตกับผู้ถือบัตรเครดิตที่เกิดปัญหาในการผ่อนชำระยอดคงค้างบัตรเครดิต

 อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ในไตรมาส 1 ปี 2550 ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ หรือ Non-Bank

ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 1 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 172,507 ล้านบาท โดยขยายตัว 13.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากที่มีการเติบโต 21.54% ในไตรมาส 1 ปี 2549 ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ชะลอลงในไตรมาสแรก สาเหตุน่าจะมาจาก ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ผู้บริโภคยังคงมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ความไม่สงบทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขู่วางระเบิดตามสถานที่ต่างที่ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้เกิดการชะลอการใช้จ่าย โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าที่เป็นสถานที่ที่ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตค่อนข้างมาก ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ควรเฝ้าระวัง ซึ่งส่งผลต่อจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้า และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20% ที่ส่งผลกระทบทางจิตวิทยา ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต

โดยเมื่อแยกพิจารณาตามกลุ่มผู้ประกอบการ พบว่า ไตรมาส1 ปี 2550 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ในประเทศมีมูลค่า 87,974 ล้านบาท โดยขยายตัว 16.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 19.89% ในไตรมาส 1 ปี 2549 ในส่วนของกลุ่มผู้ประกอบการสาขาธนาคารต่างประเทศมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นหากเทียบกับกลุ่มอื่นในไตรมาส 1 ปี 2550 โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งสิ้น 25,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.22% ซึ่งสูงกว่าที่ขยายตัว 21.9% เล็กน้อยในไตรมาส 1 ปี 2549

สำหรับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ชะลอลงอย่างชัดเจน โดยไตรมาส 1 ปี 2550 มีปริมาณการใช้จ่ายทั้งสิ้น 59,001 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัว 6.25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยชะลอตัวลงจากที่ขยายตัว 23.72% ในไตรมาส 1 ปี 2549 ทั้งนี้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของกลุ่มสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงชัดเจนของกลุ่มนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการระมัดระวังใช้จ่ายของผู้ถือบัตรเครดิตของผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีรายได้ในระดับปานกลางลงมา

ปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตไตรมาส 1 ของปี 2550 ชะลอตัว ยกเว้นธนาคารพาณิชย์

ทั้งนี้ภาพรวมปริมาณสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตโดยรวมชะลอลง โดยไตรมาส 1 ปี 2550 มีปริมาณสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 166,383 ล้านบาท และขยายตัวในอัตรา 15.89% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 21.07% ในไตรมาส 1 ปี 2549 ทั้งนี้สาเหตุน่าจะมาจาก

 ผู้ประกอบการเริ่มทำการปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ซึ่งน่าจะส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างมีปริมาณลดลง

 ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตที่ไม่สามารถผ่อนชำระบัตรเครดิตได้ตามเวลาที่กำหนด ทำให้ผู้ถือบัตรเครดิตกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้สินเชื่อเงินสดเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์) เพื่อนำไปชำระบัตรเครดิต ซึ่งเหตุนี้อาจจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง

 ผู้ถือบัตรเครดิตมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตร โดยมีความระมัดระวังมากขึ้นในการใช้บัตรเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ชะลอลงด้วย

โดยหากแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้วจะพบว่า ยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีปริมาณสินเชื่อคงค้างในไตรมาส 1 ปี 2550 อยู่ที่ 33,688 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัว 20.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวลดลงจาก 21.40% ในไตรมาส 1 ปี 2549 สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 1 ปี 2550 ก็มีปริมาณอยู่ที่ 76,873 ล้านบาท โดยขยายตัว 14.65% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากที่ขยายตัว 31.35% ในไตรมาส 1 ปี 2549 อย่างไรก็ตามยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไตรมาส 1 ปี 2550 มีปริมาณยอดคงค้างทั้งสิ้น 55,822 ล้านบาท หรือขยายตัว 14.95% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 9.11% ในไตรมาส 1 ปี 2549 และเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น

ปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าบัตรเครดิตของไตรมาส 1 ปี 2550 โดยรวมชะลอตัวลง
ภาพรวมของการเบิกเงินสดล่วงหน้าในทุกกลุ่มผู้ประกอบการไตรมาส 1 ปี 2550 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 53,306 ล้านบาท ขยายตัวอยู่ที่ 15.88% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่เคยขยายตัว 26.64% ในไตรมาส 1 ปี 2549 โดยเมื่อแยกพิจารณาเป็นรายผู้ประกอบการแล้ว พบว่า ธนาคารพาณิชย์ในประเทศมีปริมาณการเบิกเงินสดล่วงหน้าในไตรมาส 1 ปี 2550 ขยายตัวเพียง 17.53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากที่ขยายตัว 25.5% ในไตรมาส 1 ปี 2549 สำหรับกลุ่มสาขาธนาคารต่างประเทศนั้น ยังคงมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างสูงแม้ว่าจะชะลอตัวก็ตาม โดยในไตรมาส 1 ปี 2550 ขยายตัว 41.56% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากที่เคยขยายตัว 45.68% ในไตรมาส 1 ปี 2549

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์นั้น อัตราการขยายตัวการเบิกเงินสดล่วงหน้าชะลอลง โดยในไตรมาส 1 ปี 2550 ขยายตัวเพียง 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงจากที่ขยายตัว 27.09% ในไตรมาส 1 ปี 2549 ทั้งนี้การชะลอตัวดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติกรรมการชะลอตัวของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้บริโภคดังที่กล่าวไปแล้วในข้างต้น

แนวโน้มการแข่งขัน: ท่ามกลาง…ปัจจัยลบ
สำหรับการแข่งขันธุรกิจบัตรเครดิตในปีนี้ยังคงมีความเข้มข้นต่อเนื่อง ทั้งนี้การแข่งขันธุรกิจบัตรเครดิตไม่เป็นเพียงแค่การแข่งขันกับผู้ประกอบการบัตรเครดิตด้วยกันเท่านั้น แต่ยังต้องแข่งกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อประเภทอื่นด้วย เช่น บัตรเบิกเงินสด รวมทั้งยังต้องแข่งขันกับพฤติกรรมการบริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม อาทิ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการเมือง และค่านิยมในสังคม ที่มีผลต่อจิตวิทยาในการตัดสินใจซื้อสินค้าด้วย สำหรับแนวโน้มธุรกิจบัตรเครดิตในไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2550 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธุรกิจบัตรเครดิตคงมีการเติบโตชะลอลง ตามภาวะการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่คาดว่าจะเติบโตลดลง ทั้งนี้แนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจบัตรเครดิตคงจะเน้นไปในเรื่องของการกระตุ้นการการใช้ผ่านบัตรเครดิต การทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต และการขยายร้านค้ารับบัตรเครดิตให้ครอบคลุมมากขึ้น

การกระตุ้นปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร
ถึงแม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะถดถอยต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจในอนาคต ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายชะลอลงก็ตาม แต่ผู้ประกอบการยังคงต้องเดินหน้าทำการตลาดกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต อย่างไรก็ตามจากการที่ธุรกิจบัตรเครดิตมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น ผู้ประกอบการแข่งกันเสนอสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต การออกบัตรเครดิตร่วมกับพันธมิตร ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสที่จะเลือกมากขึ้น จึงส่งผลทำให้ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Royalty) ที่เคยมีเริ่มลดลงต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตใบเดียวนั้นลดลง ทั้งนี้คงต้องยอมรับว่าในการที่จะรักษาความภักดีของลูกค้าได้นั้น ผู้ประกอบการคงจะต้องทำให้บัตรเครดิตของตนมีลักษณะ ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ ซึ่งกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการจะใช้มากขึ้น คือ เพิ่มสิทธิประโยชน์ของบัตรเครดิต โดยการหาพันธมิตรใหม่ๆ เข้ามาร่วมให้ครอบคลุมและหลากหลายประเภท และนั่นก็หมายถึงต้นทุนการตลาดที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการเช่นกัน อย่างไรก็ตามในขณะเดียวกันผู้ประกอบการคงต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเมื่อเกิดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้นความเสี่ยงของสินเชื่อในระบบเพิ่มขึ้นด้วย

แนวโน้มการการขยายฐานบัตรใหม่ ผู้ประกอบการบัตรเครดิตยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ไปยังกลุ่มลูกค้าระดับบน ทั้งกลุ่มที่ธนาคารพาณิชย์และสาขาธนาคารต่างประเทศ นอกจากนี้กลุ่มผู้ประกอบ Nonbank หันมารุกขยายฐานตลาดในกลุ่มนี้เช่นกัน จะเห็นได้ว่ากลุ่ม Nonbank ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตชะลอลงอย่างชัดเจน เนื่องจากผู้ถือบัตรเครดิตส่วนใหญ่จะมีรายได้ปานกลางลงมา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทำให้มีการระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น จึงทำให้ผู้ประกอบการสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับกลยุทธ์ โดยการหันมารุกตลาดบน โดยมีกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประมาณ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงอีกทั้งยังมีศักยภาพในการชำระบัตรเครดิตสูง

อย่างไรก็ตามการขยายฐานตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ ผู้ประกอบ Nonbank อาจต้องทำการตลาดค่อนข้างมาก เนื่องจากฐานลูกค้าที่มีรายได้ระดับสูงมีปริมาณที่จำกัด และเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงในขณะนี้ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดจะเน้นไปทางสิทธิประโยชน์ของบัตรที่ให้มากกว่าบัตรทอง หรือ บัตรเงิน และสร้างความแปลกใหม่ในด้านสิทธิประโยชน์ของบัตร การนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ก็จะสามารถเจาะเข้าไปยังกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งการที่ผู้ประกอบการ Nonbank หันมาขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ อาจส่งผลให้ต้นทุนทางการตลาดสูงขึ้นด้วย

นอกจากนี้การขยายฐานบัตรเครดิตไปยังต่างจังหวัดยังคงมีความรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งนี้กลุ่มผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อบัตรเครดิต น่าจะเป็นผู้ประกอบการกลุ่ม Nonbank ที่เริ่มทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าหาพันธมิตรร้านค้ามากขึ้น การปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของคนในแต่ละจังหวัด อีกทั้งผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังมีความโดดเด่นในเรื่องการมีความชำนาญในการทำธุรกิจลูกค้ารายย่อย

การจัดแคมเปญส่งเสริมการขายและบริการยังคงมีความเข้มข้น ผู้ประกอบการต่างออกทำแคมเปญกระตุ้นการตลาด ทั้งนี้กลยุทธ์การส่งเสริมการขายน่าจะมีความเข้มข้น โดยผู้ประกอบการพยายามหาความแปลกใหม่ โดยการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมในการส่งเสริมการขาย เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในการทำตลาด โดยเฉพาะในภาวะที่การแข่งขันที่รุนแรง ความจงรักภักดีต่อการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพียงใบเดียวเริ่มน้อยลง

การขยายร้านค้ารับบัตรเครดิต โดยเฉพาะการขยายร้านค้ารับบัตรเครดิตในต่างจังหวัดน่าจะมีมากขึ้น เพื่อรองรับแนวโน้มการเติบโตของฐานบัตรเครดิตในต่างจังหวัด ทั้งนี้ผู้ประกอบการรายใดสามารถขยายฐานร้านค้ารับบัตรได้มาก ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการเช่นกัน อย่างไรก็ตามร้านค้าบางแห่ง โดยเฉพาะร้านค้าที่มีขนาดเล็กมักจะผลักภาระค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิต ด้วยสาเหตุนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตตามร้านเหล่านี้จึงมีจำนวนที่น้อย

ปัจจัยลบต่อการขยายตัวธุรกิจบัตรเครดิต
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปัจจัยลบที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวลงของธุรกิจบัตรเครดิตในปีนี้ ได้แก่

ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความมั่นคงทางรายได้ในอนาคต ทำให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย ทั้งนี้จะเห็นได้จากดัชนีค้าปลีกของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ขยายตัวเพียง 1.8 % จากปีก่อนหน้า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ที่ผ่านมา

ปัจจัยด้านความมั่นคงทางการเมือง และทิศทางนโยบายทางเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งจะเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของหอการค้าไทยในเดือนเมษายน 2550 อยู่ที่ 72.1 ซึ่งลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนมีนาคม 2550 อยู่ที่ 43.6 ทั้งนี้เสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ยังคงต้องจับตามอง ทั้งการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ มีส่วนส่วนสำคัญต่อการเติบโตของตลาดสินเชื่อบัตรเครดิต

นอกจากนี้ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอตัว และการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวลดลง ธุรกิจบัตรเครดิตอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำธุรกิจ จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อเตรียมรับมือกับระดับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้แนวโน้มการดำเนินการธุรกิจบัตรเครดิต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า

การอนุมัติบัตรใหม่บัตรใหม่ยังคงอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง โดยเฉพาะในภาวะที่การแข่งขันตลาดบัตรเครดิตยังคงมีความรุนแรง ผู้ประกอบการต้องการที่จะขยายฐานบัตรใหม่ เพื่อครอบครองสัดส่วนในตลาดมากเพียงใดก็ตาม แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลต่อความสามารถในการชำระสินเชื่อของผู้ถือบัตรเครดิตบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่ถือบัตรเครดิตมากว่า 1 บัตร ขึ้นไป ผู้ประกอบการทุกกลุ่มจำเป็นต้องทำการตรวจสอบประวัติผู้เข้ามาขอสินเชื่อมากขึ้น เพื่อควบคุมคุณภาพของสินเชื่อในระบบ

การเพิ่มการตรวจสอบในส่วนของการผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิต ผู้ประกอบการบัตรเครดิตต่างเพิ่มการตรวจสอบพฤติกรรมการผิดชำระบัตรของลูกค้า เพื่อเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาปรับลดวงเงิน หรือยกเลิกบัตรล่วงหน้า ก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง โดยเฉพาะหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต จาก 18% เป็น 20% ที่ผู้ประกอบการบัตรเครดิตบางรายเริ่มมีการปรับขึ้นไปแล้ว อีกทั้งการปรับขึ้นชำระขั้นต่ำจาก 5% เปีน 10% ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2250 นั้น ที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระยอดคงค้างบัตรเครดิตของลูกค้าบางกลุ่มด้วย อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ที่ในระยะแรกๆ ลูกหนี้อาจยังคงสามารถหมุนหนี้ โดยการนำสินเชื่อจากแหล่งอื่นมาจ่ายชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 10% ของยอดคงค้าง ถึงแม้ว่าพฤติกรรมหมุนเงินของผู้ถือบัตรอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบสินเชื่อจะไม่ปรากฏในทันที ตราบใดที่ยังสามารถหมุนเงินเพื่อมาชำระขั้นต่ำของยอดคงค้างได้ แต่จะเริ่มเห็นเมื่อปัญหามีความรุนแรงแล้ว นั่นหมายถึง เมื่อผู้ถือบัตรไม่สามารถหมุนเงินต่อไปได้ความเสี่ยงต่อระบบสินเชื่อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต

บทสรุป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจถดถอย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจบัตรเครดิตในปีนี้ ได้แก่ ทิศทางเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวในการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิต โดยคาดว่าการดำเนินการเพื่อควบคุมความเสี่ยงคงจะมีความระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาอนุมัติบัตรใหม่ การเฝ้าติดตามผู้ถือบัตรที่มีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาปรับลดวงเงิน หรือยกเลิกบัตรล่วงหน้า ก่อนเวลาต่ออายุบัตรจริง สำหรับบัตรที่มีความเสี่ยง เป็นต้น

ถึงแม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะชะลอตัวลง และความเสี่ยงในเรื่องของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะมีมากขึ้น แต่แนวโน้มการแข่งขันธุรกิจบัตรเครดิตยังคงความเข้มข้น โดยเฉพาะการพยายามที่จะขยายฐานลูกค้าระดับบน รวมทั้งการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น รับส่วนลดพิเศษ รับของรางวัลเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตครบตามวงเงินที่กำหนด หรือการคืนเงินให้ในรูปแบบของบัตรกำนัล เป็นต้น ซึ่งในภาวะที่ธุรกิจบัตรเครดิตมีการแข่งขันที่รุนแรง ผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะได้รับประโยชน์และสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ผู้ประกอบการนำเสนอ อย่างไรก็ตามผู้ที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตต้องรู้จักเลือกใช้และอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง ให้สอดคล้องกับรายได้และรายจ่ายของตนเอง