บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ประสบความสำเร็จจากการขายหุ้นกู้มีประกันจำนวน 4,000 ล้านบาท แก่นักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป โดยมีผู้แสดงความจำนงซื้อหุ้นกู้เกินกว่าจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขาย และมีการจองซื้อหมดทั้งจำนวนตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้จองซื้อ (วันที่ 30 พฤษภาคม 2550)
เงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ทั้งหมดในครั้งนี้ บริษัท จะนำไปใช้คืนเงินกู้เดิมก่อนกำหนด โดยประมาณ 3.6 พันล้านบาท จะนำไปใช้คืนหุ้นกู้ในประเทศ 1/2545 ซึ่งจะครบกำหนดชำระในเดือนกรกฎาคม 2551 สำหรับส่วนที่เหลืออีกประมาณ 400 ล้านบาท จะนำไปชำระเงินกู้สกุลไทยบาทจากธนาคารในประเทศ การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ จะทำให้ทรู สามารถยืดเวลาการชำระเงินกู้ ออกไปได้สูงสุดถึงประมาณ 4 ปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยจ่ายคงเดิม และนอกเหนือไปจากนั้น จะทำให้ทรูมีความคล่องตัว ในการบริหารเงินสดอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานด้านการเงินของบริษัทในปี 2550
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารกล่าวว่า ผลตอบรับจากการออก หุ้นกู้ในครั้งนี้ แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่ออนาคตและฐานะทางการเงินของบริษัท “สถานภาพทางการเงินของกลุ่มทรูปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ลดลงมาโดยตลอด เนื่องจากการเติบโตของ EBITDA และการที่บริษัทให้ความสำคัญกับการลดภาระหนี้สิน ในขณะ เดียวกันยุทธศาสตร์การเป็นผู้นำชีวิต Convergence Lifestyle เริ่มส่งผลดีต่อธุรกิจโดยรวม”
หุ้นกู้ดังกล่าวเปิดให้มีการจองซื้อระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 6 มิถุนายน 2550 โดยแบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ
(1) หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน 1 วัน ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2552 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.70 ต่อปี มูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขายรวม 1,000 ล้านบาท
(2) หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 1 เดือน 1 วันครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2553 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.20 ต่อปี มูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขายรวม 2,000 ล้านบาท
(3) หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี 1 เดือน 1 วัน ครบกำหนดไถ่ถอน พ.ศ. 2555 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.80 ต่อปี มูลค่าหุ้นกู้ที่เสนอขายรวม 1,000 ล้านบาท
หุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด ซึ่งมีเงื่อนไขการชำระดอกเบี้ยเป็นรายไตรมาส และการชำระคืนเงินต้นครั้งเดียวเมื่อครบกำหนดอายุ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “BBB” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ทั้งนี้มีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และ มีผู้ร่วมจัดจำหน่าย ได้แก่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กับ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)