ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยหรือ (AFET) ในวันที่ 19 มิถุนายน 2550 มีปริมาณการซื้อขายล่วงหน้ารวม 1,087 สัญญา แบ่งเป็นข้าวขาว 5% รวม 569 สัญญายางแผ่นรวมควันชั้น 3 รวม 508 สัญญา และมันเส้น รวม 10 สัญญา ทำลายสถิติสูงสุดอีกครั้งนับตั้งแต่เปิดดำเนินการซื้อขายใน AFET ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2547 ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 285 ล้านบาท
ดร.นิทัศน์ ภัทรโยธิน รองผู้จัดการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET กล่าวว่า การการซื้อขายล่วงหน้าวานนี้เป็นไปอย่างคึกคัก มีการจับคู่ซื้อขายล่วงหน้าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดใกล้ปิดทำการซื้อขายมีคำสั่งซื้อขายส่งเข้ามาสู่ระบบการซื้อขายเพื่อรอการจับคู่จำนวนมาก ซึ่งเป็นการตอบสนองของผู้ซื้อผู้ขายที่ใช้ประโยชน์จากการขยายเวลาเปิดซื้อขายแบบ Non-Stop โดยไม่หยุดพักเที่ยง ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 50 เป็นต้นมานั้น ทำให้การซื้อขายรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1,087 สัญญา คิดเป็นมูลค่ากว่า 285 ล้านบาท
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงสัญญาข้าวขาว 5 % ให้เป็นแบบ Both Options ให้สามารถเลือกได้ว่าจะส่งมอบรับมอบสินค้าหรือไม่ ทำให้ผู้ซื้อผู้ขายไม่ต้องกังวลในการส่งมอบรับมอบสินค้าประกอบกับกระทรวงพาณิชย์มีโครงการประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล โดยอิงราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย(AFET) ทำให้ผู้ประกอบการค้าข้าวและนักลงทุนมีความมั่นใจในสัญญาซื้อขายข้าวแบบ Both Options ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าข้าวขาว 5% มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนมีปริมาณซื้อขายสูงสุด 569 สัญญา โดยมีราคาสำหรับเดือนส่งมอบกรกฎาคมและสิงหาคม อยู่ที่ 10.83 และ 10.79 บาท/กก. ตามลำดับ
สำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 มีปริมาณการซื้อขายรองลงมา 508 สัญญา ในราคาที่มีการปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาในเดือนส่งมอบกันยายน มีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด 1.50 บาท/กก. หรือ 7,500 บาทต่อสัญญา โดนราคาซื้อขายล่วงหน้าของ AFET มีการปรับตัวสอดรับกับราคาในต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากการซื้อขายเพื่อทำ Arbitrage ของนักลงทุนโดยอาศัยเวลาเปิดซื้อขายที่ต่อเนื่อง “การปรับเวลาการซื้อขายมีส่วนสำคัญให้แก่นักลงทุนที่ติดตามการเคลื่อนไหวของราคายางพาราทั้งในและต่างประเทศ สามารถซื้อขายใน AFET ได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสามารถปรับกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ซึ่งจะทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน” ดร.นิทัศน์กล่าวในที่สุด