ผลประกอบการธุรกิจกองทุนครึ่งปี 50 เติบโตรวมกว่าร้อยละ 17

นายมาริษ ท่าราบ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน นำทีมกรรมการสมาคมฯ แถลงผลประกอบการธุรกิจกองทุนครึ่งปีซึ่งมีขนาดทรัพย์สินสุทธิขยายตัวรวมกว่าร้อยละ 17 โดยกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล เติบโตร้อยละ 21.30, 7.66 และ 8.15 ตามลำดับ พร้อมชูนโยบายสร้างความหลากหลายในกองทุนรวม เพิ่มทางเลือกการลงทุนรูปแบบใหม่ รุกการลงทุนต่างประเทศทั้งในธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเน้นผลักดันกองทุนบำเหน็จบำนาญและ employee’s choices ทั้งนี้ นายกสมาคมฯ ได้ย้ำว่า สมาชิกของสมาคมฯ มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพ และมีบรรษัทภิบาลที่ดี

นายมาริษ ท่าราบ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนและประธานกลุ่มธุรกิจกองทุนรวม นำทีมกรรมการสมาคมประกอบด้วย นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน อุปนายกสมาคมและประธานกลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล นางสาวอารยา ธีระโกเมน อุปนายกสมาคมและประธานกลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แถลงผลประกอบการกลุ่มธุรกิจกองทุนครึ่งปี 2550 เปรียบเทียบกับปี 2549 มีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในทุกกลุ่ม โดยมีรายละเอียดดังนี้

ภาพรวมธุรกิจกองทุน
ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2550 กองทุนรวมจำนวน 834 กอง มียอดทรัพย์สินสุทธิรวม 1,472,984 ล้านบาท เติบโตจาก 1,214,300 ณ สิ้นปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 21.30 ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมียอดทรัพย์สินสุทธิรวม 416,273 ล้านบาท เติบโตจาก 386,657 ณ สิ้นปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 7.7 ส่วนกองทุนส่วนบุคคล มียอดทรัพย์สินสุทธิรวม 159,339 ล้านบาท เติบโตจาก 147,328 ณ สิ้นปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 8.2 โดยทุกกลุ่มกองทุนมียอดทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2550 รวมกันคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 2,048,596 ล้านบาท

กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม
กลุ่มธุรกิจกองทุนรวมแยกตามประเภทการลงทุน พบว่ากองทุนรวมทั่วไปประเภทกองทุนตราสารหนี้เป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิคิดเป็นร้อยละ 58.94 ของกองทุนรวมทั้งหมด และมียอดการเจริญเติบโตในครึ่งปีแรกร้อยละ 36 ในขณะที่กองทุนหุ้นมีการเจริญเติบโตร้อยละ 19 ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมหน่วยลงทุนซึ่งยังมีสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพียงร้อยละ 3.44 และ 1.54 ตามลำดับเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมียอดการเจริญเติบโตในครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 ซึ่งกลุ่มนี้ได้แก่กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) เป็นส่วนใหญ่ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1)

ในด้านผลตอบแทนของของทุนรวม แยกตามประเภทกองทุนทั่วไป ได้แก่ กองทุนหุ้น กองทุนผสม และกองทุนตราสารหนี้ พบว่า ในจำนวนกองทุนหุ้น 96 กองทุน มีกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งใช้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) เป็นเกณฑ์สูงถึง 87 กองทุน โดยอันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบครึ่งปีได้คิดเป็นร้อยละ 25.13, 24.08 และ 23.73 ตามลำดับเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเท่ากับร้อยละ 14.26 ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี กองทุนหุ้นที่มีผลการดำเนินงานสูงสุด 3 ลำดับแรกนั้น ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนเท่ากับร้อยละ 32.20, 30.92 และ 30.76 ตามลำดับ ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐานหรือ SET Index ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเพียงร้อยละ 14.55

ในขณะที่กองทุนผสมจำนวน 49 กองทุน อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบครึ่งปีได้คิดเป็นร้อยละ 21.60, 20.79 และ 20.57 ตามลำดับ ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี กองทุนรวมผสมที่มีผลการดำเนินงานสูงสุด 3 ลำดับแรกนั้น ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนเท่ากับร้อยละ 28.37, 22.71 และ 22.53 ตามลำดับ

ส่วนกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป อันดับที่หนึ่ง สอง และสาม สามารถสร้างผลตอบแทนในรอบครึ่งปีได้คิดเป็นร้อยละ 7.40, 6.56 และ 5.61 ตามลำดับ ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีผลการดำเนินงานสูงสุด 3 ลำดับแรกนั้น ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนเท่ากับร้อยละ 18.92, 13.79 และ 13.59 ตามลำดับ

กลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 มียอดทรัพย์สินสุทธิรวม 416,273 ล้านบาท เติบโตจาก 386,657 เมื่อสิ้นปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 7.66 จำนวนนายจ้าง 8,257 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.62 และจำนวนพนักงานที่เป็นสมาชิกจำนวน 1,849,708 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.66

กลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล
ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 มียอดทรัพย์สินสุทธิรวม 159,339 ล้านบาท เติบโตจาก 147,328 เมื่อสิ้นปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 8.15

ประกาศนโยบาย พัฒนาทางเลือกการลงทุนรูปแบบใหม่ เพิ่มความหลากหลายในการลงทุน พร้อมยกระดับมาตรฐานจรรยาบรรณ
นายกสมาคมกล่าวต่อไปว่า เมื่อพิจารณาจำนวนเงินลงทุนในกองทุนรวมทั้งสิ้น 2.05 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน เทียบกับเงินฝากธนาคารทั้งระบบ 6.80 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นว่าธุรกิจกองทุนยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก กลุ่มบริษัทจัดการกองทุนจึงมีนโยบายที่ชัดเจนที่จะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาธุรกิจกองทุนให้เจริญเติบโตออกไป โดยการพัฒนาทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายเพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อการศึกษา (EMF) ควบคู่ไปกับการลงทุนประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ สนับสนุนการออมเพื่อวัยเกษียณผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนหุ้นระยะยาว LTF กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ และกองทุนรูปแบบอื่นๆ

ขณะเดียวกันก็มีนโยบายที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมให้มีความโปร่งใสในการจัดการ และเข้มงวดเรื่องจรรยาบรรณ มาตรฐาน และแนวปฏิบัติต่างๆ ตลอดจนสนับสนุนการกำกับกิจการที่ดี (Good Governance) ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนได้เข้าใจมุมมองของผู้จัดการกองทุน และนำไปปรับปรุงมาตรฐานการปฏิบัติของบริษัทจดทะเบียนเอง ซึ่งจะต้องมีความโปร่งใส ตัวอย่างเช่นการที่ กองทุนภายใต้การจัดการของ บลจ. จะไปลงคะแนนตามวาระการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน หากเป็นวาระที่เห็นชัดเจนว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหารและพนักงานแต่เกิดผลเสียต่อผู้ถือหุ้น กองทุนก็อาจลงมติคัดค้าน เป็นต้น ซึ่งต่อไป ทางสมาคมฯ จะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไว้ที่เวบไซท์สมาคมฯ เพื่อเป็นแนวทางให้ บริษัทจดทะเบียนพิจารณา

นอกจากนี้ สมาคม ฯ จะเร่งจัดทำข้อมูลวัดผลการดำเนินงานกองทุนรวม โดยมีฐานข้อมูลรวมที่ทันสมัย ระดับมาตรฐานสากลของ Lipper รวมทั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐาน จรรยาบรรณ ตลอดจนแนวปฏิบัติและผลการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนของกองทุนต่างๆ ไว้ในเว็บไซต์ของสมาคม เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ลงทุนสามารถเข้าไปศึกษาและทำความเข้าใจก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเน้นผลักดันกองทุนบำเหน็จบำนาญและ Employee’s choices
นางสาวอารยา ธีระโกเมน ประธานกลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแถลงความคืบหน้าของการพัฒนาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่าที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2530 แล้ว ซึ่งจะมีผลดีหลายประการคือ 1.อนุญาตให้สมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญสามารถดอนย้ายเงินกองทุนไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ 2.จัดให้มี Employee’s choices เพื่อให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุนสามารถเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง และ 3.สมาชิกที่เกษียณอายุสามารถทยอยรับเงินเป็นงวดๆ ได้

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) สมาคมเสนอให้มีการบริหารจัดการกองทุนและการจัดทำทะเบียนสมาชิกในแบบที่เป็น Decentralized Management ซึ่งจะช่วยเพิ่มการแข่งขันและประสิทธิภาพในการบริษัทจัดการกองทุนซึ่งจะทำให้สมาชิกกองทุนได้ประโยชน์สูงสุด คาดว่ากองทุนนี้จะเกิดขึ้นได้หลังจากปี 2551

กองทุนส่วนบุคคลรุกขยายฐานผู้ลงทุนและผลักดันการลงทุนในต่างประเทศ
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน ประธานกลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลแถลงนโยบายกลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลว่า กลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลได้มีการติดตามความคืบหน้าในการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากมีการจัดตั้งจะมีผลให้วงเงินฝากธนาคารไม่ได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวนดังเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ผู้ออมต้องหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารเงินออมให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จึงควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคคลทั่วไปในการพิจารณาทางเลือกในการออมเงินมากขึ้น เพื่อจะได้เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ขณะเดียวกัน กลุ่มก็มีนโยบายที่จะผลักดันให้มีการอนุญาตให้กองทุนส่วนบุคคลและบุคคลทั่วไปสามารถนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันซึ่งเป็นช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งตัว สมาคมได้ดำเนินการหารือร่วมกับสำนักงานกลต. เพื่อนำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อธนาคารแห่งประเทศไทยไปแล้ว ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะมีการอนุญาตให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศได้ โดยมีวงเงินสำหรับกองทุนส่วนบุคคลแต่ละกองทุนที่มีผู้ลงทุนเป็นนิติบุคคลไว้ที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่นเดียวกับกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนกรณีกองทุนส่วนบุคคลแต่ละกองทุนที่มีผู้ลงทุนเป็นบุคคลธรรมดาจะถูกจำกัดวงเงินไว้ที่ 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สิ่งที่ต้องดำเนินการต่อจากนี้หากแนวทางดังกล่าวได้รับการความเห็นชอบก็คือการกำหนดแนวทางการบริหาร จัดการ และระบบการรายงานที่ดีเพื่อลดความกังวลเรื่องความเสี่ยงและการสร้างความมั่นใจในการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศให้กับผู้ลงทุน

สมาคมฯ จะจัดรายการพบปะกับผู้สื่อข่าวเป็นประจำ
สุดท้าย นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการด้านวิเทศสัมพันธ์ ได้ชี้แจงว่า ต่อไปนี้ สมาคมฯ จะจัดงานพบปะกับผู้สื่อข่าวไตรมาสละครั้ง เพื่อเผยแพร่ผลงานสมาคมให้สาธารณชนรับทราบ และเปิดโอกาสให้ซักถามเรื่องต่างๆได้ทั่วถึงกัน

รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดติดต่อ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน
โทรศัพท์ 02-2640900
โทรสาร 02-2490904