ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าจัดทำแผนปฏิบัติการเพิ่มบริษัทจดทะเบียน

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสรรหาบริษัทจดทะเบียน (New Listing Sub-committee) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (5 กันยายน 2550) คณะอนุกรรมการฯ ได้มีการประชุมครั้งแรกเพื่อหารือถึงแนวทางการเพิ่มบริษัทจดทะเบียน โดยในระยะสั้น จะเร่งกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อให้บริษัทเป้าหมายยื่นคำขอเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ทันในปีนี้

ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีซึ่งอยู่ระหว่างการรอออกพระราชกฤษฎีกา ได้กำหนดให้บริษัทที่ยื่นคำขอเข้า จดทะเบียนในปี 2550 และเข้าจดทะเบียนในปี 2551 ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 3 รอบปีบัญชี โดยบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสียภาษีนิติบุคคลลดลงจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 25 และเป็นร้อยละ 20 ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

“การประชุมคณะอนุกรรมการในวันนี้เป็นไปด้วยดี โดยได้รับความร่วมมือจากอนุกรรมการ ซึ่งเป็นผู้แทนจากหน่วยงานที่สำคัญจากทั้งภาคเศรษฐกิจและตลาดทุน ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินงาน โดยทุกท่านพร้อมทำงานในเชิงปฏิบัติ โดยอนุกรรมการฯ จะได้สำรวจรายชื่อของธุรกิจที่เป็นสมาชิกในองค์กรของตน อาทิ ธุรกิจส่งออก หรือ SME ที่มีคุณสมบัติเข้าจดทะเบียนได้ และประสานงานกับฝ่ายจัดการของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อทำงานร่วมกันในการเชิญชวนบริษัทที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียน ในขณะเดียวกัน ได้ให้ฝ่ายจัดการ เร่งเสนอชื่อกลุ่มบริษัทเป้าหมายที่ต้องการให้เข้าจดทะเบียนให้ทันในปีนี้ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี”นายปกรณ์กล่าว

นายปกรณ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดมาตรการระยะสั้นโดยได้รับความร่วมมือจากผู้แทนของสำนักงานก.ล.ต. ในเชิงการตลาดที่จะร่วมไปเข้าพบบริษัทเป้าหมาย พร้อมกับคณะอนุกรรมการฯ และทีมการตลาด พร้อมทั้งจะจัดให้มี Fast Track รวมทั้ง จะมีการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้บริษัทที่สนใจเข้าจดทะเบียนในกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะเพื่อจูงใจด้วย ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการได้กำหนดให้มีการประชุมทุก 2 สัปดาห์ และจะให้ฝ่ายจัดการนำเสนอรายละเอียดของแผนงานในการประชุมครั้งต่อไป

นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ ยังได้หารือกันถึงการกำหนดมาตรการระยะยาว ซึ่งจะต้องมีการเสนอแผนเชิงปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานด้านการกำหนดนโยบาย รวมทั้ง การตั้งเป้าหมายที่จะเชิญชวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศเข้าจดทะเบียนในไทย และเร่งหารือเพื่อจัดทำรายละเอียดของแผนต่อไป

นายปกรณ์กล่าวเสริมว่า คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งระดมทุนของภาคธุรกิจ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าในช่วง 10 ปีหลังวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทเอกชนได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนโดยการระดมทุนไปกว่า 1.7 ล้านล้านบาท มากกว่าการปล่อยสินเชื่อสุทธิส่วนเพิ่มจากธนาคารพาณิชย์ถึง 1.8 เท่า ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนให้มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการสรรหาบริษัทจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่งตั้งขึ้น ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานสำคัญ อาทิ สำนักงานก.ล.ต. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ฯ