“กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล วอเตอร์” โชว์ผลงานสุดเจ๋ง ลงทุนเพียงแค่เดือนเดียว ผลตอบแทนสูงถึง 4.38 % ระบุหุ้นอุตสาหกรรมน้ำที่ลงทุนทั่วโลก 50 แห่งรองรับความผันผวนกับทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ย้ำ ลงทุนในกิจการที่มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ มั่นใจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการลงทุนในต่างประเทศที่เหมาะสม
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)
ไอเอ็นจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล วอเตอร์” (ING Thai Global Water Fund) หรือ ING GW ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยเน้นลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมน้ำทั่วโลกว่า ผลตอบแทนของกองทุน ING GW อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสามารถเติบโตได้ในสถานการณ์ที่ตลาดทุนทั่วโลกกำลังผันผวนอย่างหนัก
ทั้งนี้ หากพิจารณาผลตอบแทนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล วอเตอร์” ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2550 ซึ่งจดทะเบียนได้เพียง 28 วัน พบว่า ให้ผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 4.38 % โดยหากไม่นับรวมการแข็งค่าของเงินบาทอีกประมาณ 2% ผลตอบแทนของกองทุนก็น่าจะสูงถึงระดับเกือบ 7% ได้เลยทีเดียว ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยลงทุน (NAV) เท่ากับ 10.5186 บาท และมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทเพิ่มขึ้นหลังจากการเปิดขายให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) กว่า 10%
“ปัจจัยที่ทำให้กองทุน ING GW มีผลตอบแทนสูงเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากนักลงทุนเริ่มให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค เพราะหุ้นในกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม และมีความผันผวนน้อยเมื่อเทียบกับตลาด และหุ้นกลุ่มน้ำเองก็มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ เพราะความต้องการใช้น้ำมีอย่างต่อเนื่อง จึงนับว่าเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดเล็กที่มีอัตราการเติบโตสูงในตลาดเกิดใหม่ หากตลาดโดยรวมปรับตัวลดลง หุ้นกลุ่มน้ำจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า แต่ในทางกลับกันเมื่อตลาดรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปในวงกว้างหุ้นกลุ่มน้ำอาจปรับตัวขึ้นน้อยกว่าหุ้นที่มีขนาดเล็กในตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามหากตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นทั้งหมด นักลงทุนก็ได้รับผลตอบแทนเชิงบวกอยู่ดี” นายจุมพลกล่าว
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ยังยกตัวอย่างผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ หรือ ซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมด้วยว่า ความกังวลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ภูมิภาคเอเชีย อย่างเช่นกรณีของประเทศจีนซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในอัตรา 2 หลักหรือมากกว่า 10% ขึ้นไปก็อาจจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้จากผลกระทบดังกล่าว ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มสาธาณูปโภคไม่มากนัก
นอกจากนี้ การที่ทรัพยากรน้ำมีอยู่จำกัด โดยเฉพาะน้ำสะอาดที่พร้อมใช้ ในขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังทำให้อัตราการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างสูง จึงทำให้หุ้นของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับธุรกิจการผลิตและบริหารจัดการน้ำตลอดจนอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการผลิตน้ำทั่วโลก เป็นกลุ่มที่สร้างมูลค่าได้อย่างดีในระยะยาวและนับเป็นกลุ่มที่น่าลงทุน
ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุนของกองทุน ING GW จะเป็นการลงทุนในดัชนี S&P Global Water Index ผ่านกองทุน Claymore S&P Global Water Index ETF ที่ครอบคลุมหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ” ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก รวมทั้งหมด 50 บริษัท โดยกองทุน ING GW ถือเป็นการลงทุนในกองทุน ETF กองแรกของ บลจ.ไอเอ็นจี
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องและมีรายได้จากน้ำที่อยู่ใน ดัชนี S&P Global Water Index นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจน ได้แก่ ธุรกิจสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ จำนวน 25 บริษัท ประกอบด้วย ธุรกิจการจัดหาน้ำ การทำน้ำประปา การบำบัดน้ำเสีย การผลิตน้ำ และระบบลำเลียงน้ำ และ ธุรกิจวัสดุและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ จำนวน 25 บริษัท เช่น ธุรกิจผลิตสารเคมีบำบัดน้ำเสีย อุปกรณ์บำบัดน้ำเสีย เครื่องสูบน้ำ ท่อลำเลียงน้ำ ตลอดจนมาตรวัดน้ำ
“กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย โกลบอล วอเตอร์ “ เป็นกองทุนเปิดที่สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน และนักลงทุนที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-688-7777 ต่อ 2 หรือที่ www.ingfunds.co.th