การค้าไทย-ไต้หวันปี 2550: ส่งออกชะลอตัว…แข่งขันสูงจากจีน

การค้าไทย-ไต้หวัน
มูลค่าการค้าไทย-ไต้หวันในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าไทยไปไต้หวันขยายตัวร้อยละ 1.04 ในปี 2547 ร้อยละ 4.35 ในปี 2548 และขยายตัวสูงถึงร้อยละ 23.67 ในปี 2549 โดยตลาดไต้หวันเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยอันดับ 9 ในปี 2549 ในทางกลับกันด้านการนำเข้าของไทยจากไต้หวันขยายตัวในอัตราลดลงจากร้อยละ 24.06 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 13.61 ในปี 2548 และร้อยละ 13.22 ในปี 2549

การค้าระหว่างไทยกับไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มูลค่าการค้ารวมของไทยกับไต้หวัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6.93 มีมูลค่าการค้าทั้งสิ้น 6.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 6.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ด้านการส่งออกอยู่ในเกณฑ์น่าวิตก เนื่องจากมูลค่าส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ชะลอตัวลง ในอัตราร้อยละ 0.08 โดยยอดส่งออกไทยไปไต้หวันมีจำนวน 2.556 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีอัตราขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.24 มูลค่า 2.558 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ตลาดส่งออกสินค้าไทยไปไต้หวัน ลดอันดับลงจากเดิม อันดับ 8 เป็นอันดับ 12

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ดีส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำพวก เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยางพารา และอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักร เครื่องพักกระแสไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์พลาสติก อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกบางรายการขยายตัวลดลง อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ทองแดงและของทำด้วยทองแดง เคมีภัณฑ์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันสำเร็จรูป กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบน้ำตาลทราย และ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้าส่งออกประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบของไทยไปไต้หวันลดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ในอัตราร้อยละ 51.46 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 155.49 เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี2550 อุปสงค์ในตลาดไต้หวันของสินค้านำเข้าจำพวกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบได้ลดลง โดยตัวเลขจากทางการไต้หวันเปิดเผยว่า การนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวของไต้หวันได้ลดลงร้อยละ 0.40 อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้าส่งออกประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบของไทยไปยังจีนได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 58.44 จากเดิมที่ลดลงเกือบร้อยละ 6 ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของการส่งออกไปยังจีนตรงข้ามกับไต้หวันนั้นส่วนหนึ่งอาจสะท้อนถึงสาเหตุการโยกย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการไต้หวันจากไทยไปยังจีนซึ่งทำให้เกิดการโยกย้ายคำสั่งซื้อไปยังจีนแทนที่แต่เดิมไปยังไต้หวัน

ในขณะเดียวกันสินค้าส่งออกไทยไปไต้หวันประเภทเคมีภัณฑ์ลดลงในอัตราร้อยละ 17.6 จากระยะเดียวกันของปี 2549 ในขณะเดียวกันเป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้าเคมีภัณฑ์ของไทยไปจีนชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 30 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 จากที่เคยขยายตัวสูงถึงร้อยละ 116.52 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมทั้งจากการช่วงชิงตลาดส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปไต้หวันจากจีน เนื่องจากจีนมีต้นทุนการผลิตสินค้าที่ต่ำกว่าไทย ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการไต้หวันจึงหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนแทนการนำเข้าสินค้าไทย ทำให้สินค้าส่งออกประเภทดังกล่าวจากจีนเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าส่งออกไทยไปไต้หวันลดลง

ส่วนการนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ไต้หวันยังคงเป็นแหล่งนำเข้าของไทยที่สำคัญ โดยขยายตัวลดลงในอัตราร้อยละ 11.59 มูลค่า 4.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่า 3.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการชะลอตัวของการนำเข้าดังกล่าว สอดคล้องกับภาวะการชะลอตัวของการลงทุนในประเทศ ทั้งนี้ไทยยังคงขาดดุลการค้ากับไต้หวันต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา

ด้านสินค้านำเข้าของไทยจากไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 สินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้แก่ สินค้าประเภทเคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์โลหะ ด้ายและเส้นใย สื่อบันทึกข้อมูล ภาพ เสียง ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด และ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ขณะที่สินค้านำเข้าของไทยจากไต้หวันที่มีมูลค่าลดลงได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผ้าผืน สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แปรรูปและกึ่งแปรรูป วงจรพิมพ์ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ดและเครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์

เป็นที่น่าสังเกตว่าสินค้านำเข้าหลัก 3 รายการ ของไทยจากไต้หวันที่ชะลอตัวลงได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และผ้าผืน โดยชะลอตัวลงในอัตราร้อยละ 7.95, 18.61 และ 6.68 ตามลำดับ ทั้งนี้การชะลอตัวลงของสินค้านำเข้าไทยจากไต้หวัน สอดคล้องกับภาวะการชะลอตัวของการลงทุนในประเทศโดยมีสาเหตุมาจากความไม่สงบภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนไต้หวัน อีกทั้งการบริโภคของภาคเอกชนปรับตัวลดลง จึงทำให้ภาวะการลงทุนภายในประเทศย่ำแย่ ทั้งนี้ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI รายงานว่า การลงทุนจากไต้หวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 มีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในไทยจากไต้หวันเป็นจำนวนรวม 27 โครงการ โดยลดลงร้อยละ 15.6 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากตัวเลขรายงานพบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 การลงทุนในไทยจากไต้หวันในกลุ่มอุตสาหกรรมจักรกลและสิ่งทอ ขยายตัวลดลงสูงถึงร้อยละ 76.40 และ 84.03 ตามลำดับ ขณะที่การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8

จีน…คู่ค้าอันดับหนึ่งของไต้หวัน

เป็นที่น่าสังเกตว่าในปัจจุบันจีนยังคงครองอันดับคู่ค้าสำคัญในอันดับ 1 ของไต้หวัน โดยการค้าจีน-ไต้หวันมียอดการค้าเป็นมูลค่า 53.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2547 มูลค่า 63.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2548 มูลค่า 76.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2549 โดยมีการขยายเติบโตทางการค้าสูงอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ15.13 , 16.72 และ 17.94 ตามลำดับ ส่วนในช่วง ม.ค-ก.ย ของปี 2550 การค้าจีน-ไต้หวันมีมูลค่ากว่า 64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 18.94 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไทยมีมูลค่าการค้ากับไต้หวันเพียง 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตในอัตราเกือบร้อยละ 2 ส่งออกขยายตัวเพียงร้อยละ 2.18 และนำเข้าสูงขึ้นเพียงร้อยละ 1.7 เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบมูลค่าการค้า ระหว่างจีน-ไต้หวันและระหว่างไทย-ไต้หวันแล้วจะเห็นได้ว่ามูลค่าการค้าจีน-ไต้หวันสูงกว่าการค้าไทย-ไต้หวันเกือบ 10 เท่า

นอกจากนี้อัตราการขยายตัวด้านส่งออก นำเข้า จีน-ไต้หวันยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยส่งออกจากจีนไปไต้หวันมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 19.93 ในปี 2547 ร้อยละ 22 ในปี 2548 และร้อยละ 23.12 ในปี 2549 ด้านการนำเข้าสินค้าไต้หวันจากจีนขยายตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2547 ถึง 2549 มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในอัตราร้อยละ 9.95, 11 และ 12.22 ตามลำดับ ในช่วง ม.ค-ก.ย ของปี 2550 ส่งออกจีนไปไต้หวันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24.57 จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ส่วนนำเข้าสินค้าไต้หวันจากจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 13

การแข่งขันสูงในกลุ่มสินค้าส่งออกที่น่าจับตามอง: ไทย VS จีน จากตัวเลขการนำเข้าของไต้หวัน

นอกเหนือจากการชะลอตัวของสินค้าส่งออกของไทยในรายการหลักๆ อย่างเช่น คอมพิวเตอร์และเคมีภัณฑ์แล้ว จากการเปรียบเทียบสถิติสินค้านำเข้าของไต้หวันระหว่างไทย VS จีนในตลาดไต้หวัน พบว่า โครงสร้างสินค้าส่งออกบางประเภทของไทยไปไต้หวันได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างน่าวิตก อันเนื่องมาจากการแข่งขันอย่างดุเดือดจากจีน จากตัวเลขสินค้าส่งออกของสองประเทศไปไต้หวันชี้ให้เห็นว่า ไต้หวันได้เพิ่มการนำเข้าสินค้าสองประเภทที่สำคัญจากจีนได้แก่ สินค้าจำพวกเครื่องจักรกล เครื่องใช้กล เครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์อินทรีย์

ทั้งนี้ก่อนการส่งออกสินค้าประเภทเครื่องจักรกล เครื่องใช้กล เครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยไปไต้หวันจะลดลงในปี 2549-2550 นั้น แต่เดิมรายการดังกล่าวเคยมีส่วนแบ่งในปี 2548 สูงถึงร้อยละ 2 ของสินค้าส่งออกไทยทั้งหมดไปไต้หวัน ทั้งนี้มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามสินค้าประเภทดังกล่าวได้เริ่มลดตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ในอัตราเกือบร้อยละ 20 จากเดิมที่ขยายตัวร้อยละ 2.71 ในปี 2549 เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งออกสินค้าประเภทนี้ไปไต้หวันจากจีนซึ่งพบว่า ในปี 2549 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.64 ต่อมาในปี 2550(ม.ค-ก.ย) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักในอัตราร้อยละ 16.33

นอกจากนี้สินค้าจำพวกเคมีภัณฑ์อินทรีย์ของไทยไปไต้หวันยังพบว่า ก่อนการส่งออกเคมีภัณฑ์อินทรีย์ของไทยไปไต้หวันจะลดลงในปี 2549-2550 นั้น แต่เดิมรายการดังกล่าวเคยมีส่วนแบ่งในปี 2548 สูงถึงร้อยละ 8 ของสินค้าส่งออกไทยทั้งหมดไปไต้หวัน มีมูลค่าประมาณ 46.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้าประเภทดังกล่าวจากไทยไปไต้หวันกลับหดตัวลงร้อยละ 30 ในปี 2549 อีกทั้งการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทยไปไต้หวันในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ได้ชะลอตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 43 ในทางกลับกันการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของจีนไปไต้หวันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37.09 ในปี 2550 (ม.ค-ก.ย) ซึ่งขยายตัวสูงกว่าทั้งปี 2549 ที่มีการขยายตัวร้อยละ 31.44

สรุปและข้อคิดเห็น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 การส่งออกไทยไปไต้หวันอยู่ในภาวะที่น่าวิตก เนื่องจากภาคการส่งออกชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มสินค้าที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดได้แก่ กลุ่มสินค้าจำพวกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล เครื่องใช้กล เครื่องใช้ไฟฟ้า และ เคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายทางการแข่งขันที่ดุเดือดจากจีน ส่งผลให้โครงสร้างการส่งออกไทยไปไต้หวันของสินค้ากลุ่มดังกล่าวเหล่านี้ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้การชะลอตัวดังกล่าวนี้อาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทซึ่งทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงในสายตาของผู้นำเข้าและความต้องการนำเข้าของไต้หวันต่อสินค้าบางประเภทชะลอตัวลงเช่น สินค้าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าและจักรกล อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกสินค้าบางประเภทของไทยไปไต้หวันและจีนโดยเฉพาะสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ชี้ถึงความเป็นไปได้ว่า การส่งออกของไทยไปยังไต้หวันที่ชะลอตัวลงส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการไต้หวันมีการโยกย้ายฐานประกอบการผลิตจากไทยไปยังจีน ซึ่งทำให้การส่งออกสินค้าประเภทดังกล่าวจากไทยไปจีนมีอัตราเพิ่มขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ซึ่งตรงกันข้ามกับอัตราการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าประเภทนี้จากไทยไปไต้หวัน ในขณะเดียวกันการส่งออกเคมีภัณฑ์ของไทยไปยังไต้หวันก็สะท้อนสัญญาณการชะลอตัว เนื่องจากการส่งออกของสินค้าประเภทนี้จากไทยไปยังไต้หวันและจีนล้วนชะลอตัวทั้งคู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รวมทั้งจากการแข่งขันที่เข้มข้นของจีนในการแย่งชิงตลาดส่งออกของสินค้าประเภทนี้ไปยังไต้หวัน ด้วยสาเหตุที่ว่าจีนมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้ประกอบการจากไต้หวัน รวมทั้ง ทั้งนี้จากภาวะการส่งออกของไทยไปยังไต้หวันที่ส่อสัญญาณน่ากังวลดังกล่าว ศูนวิจัยกสิกรไทยมีความเห็นดังนี้คือ:

1. ภาวะส่งออกไทยไปไต้หวันที่ชะลอตัวนี้เป็นเสมือนสัญญานเตือนให้ภาครัฐบาลเร่งตื่นตัวรับมือกับความท้าทายที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคตด้วยเหตุผลหลายประการประกอบกันที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยอาทิ ปัญหาความผันผวนของค่าเงินบาท ปัญหาต้นทุนด้านการผลิตที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปัญหาการแข่งขันจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากจีน ซึ่งรัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญโดยเข้ามาติดตามและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลควรให้การสนับสนุนด้านการผลิตโดยผลักดันให้มีการผลิตแบบครบวรจร สนันสนุนทุนด้านวิจัยและพัฒนาร่วมถึงการพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเพื่อมาพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันให้สูงขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลควรปรับปรุงโครงสร้างภาษีที่จำกัดขีดความสามารถด้านการส่งออกเพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

2. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า ในระยะยาวจีนน่าจะมีบทบาทที่สำคัญเพิ่มมากขึ้นต่อการค้าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล อีกทั้งยิ่งสะท้อนให้เห็นเด่นชัดว่าจีนไม่เพียงแต่เป็นคู่แข่งทางการค้าที่น่าจับตามองของไทยเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันจีนยังเป็นประเทศคู่ค้าที่ควรให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงความสัมพันธ์การค้าซึ่งถือเป็นโอกาสขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์และร่วมมือด้านการค้าไทยจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทยเองในระยะยาว