กระเช้าของขวัญปี’50:คนกรุงฯลดทั้งจำนวน&ราคาของกระเช้า…คาดใช้จ่าย 700-800 ล้าน

นับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว บรรยากาศช่วงนี้จะเป็นเวลาที่หลายคนชื่นชอบ เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสนุกสนานภายใต้บรรยากาศที่คึกคักจากการตกแต่งสถานที่ของอาคารห้างร้านต่างๆที่มาพร้อมกับเสียงเพลงต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ และแม้ว่าตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เมืองไทยได้เผชิญกับหลากหลายปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อทั้งกำลังซื้อและกำลังใจในการดำเนินชีวิต แต่เมื่อเทศกาลปีใหม่ใกล้เข้ามาหลายต่อหลายคนก็มักจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ความสุขความสดชื่น และคาดหวังถึงสิ่งดีๆที่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้าปี 2551 และนอกจากช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จะเป็นเวลาของความสนุกสนานรื่นเริงแล้ว ช่วงเวลาดังกล่าวของแต่ละปียังเป็นเวลาของการหาซื้อของขวัญเพื่อมอบให้แก่กันด้วย และสินค้าที่นับเป็นสินค้าสัญญลักษณ์ประจำเทศกาลปีใหม่ที่ยังคงเป็นที่นิยมในแต่ละปีก็คือกระเช้าของขวัญปีใหม่ ทั้งนี้จากการสำรวจพฤติกรรมการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ของคนกรุงเทพฯเชิงคุณภาพโดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในระหว่างวันที่ 1-20 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา ด้วยจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 555 รายในระหว่างอายุ 15-65 ปี พบว่าคนกรุงเทพฯประมาณร้อยละ 47.7เลือกที่จะซื้อกระเช้าของขวัญเป็นหนึ่งในรายการของขวัญปีใหม่ต้อนรับปี 2551 แต่เนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอ ประกอบกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กลุ่มตัวอย่างประมาณร้อยละ 52.5 ตั้งงบประมาณเพื่อซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ลดลง โดยลดทั้งจำนวนกระเช้าที่จะซื้อเมื่อเทียบกับปีก่อน และเลือกซื้อกระเช้าของขวัญที่มีราคาต่ำลงจากปีก่อนเช่นเดียวกัน จึงคาดว่าเม็ดเงินหมุนเวียนสำหรับการจับจ่ายซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ปี 2550 ของคนกรุงเทพฯน่าจะมีมูลค่าประมาณ 700-800 ล้านบาท ที่น่าจะใกล้เคียงหรือเติบโตเพิ่มขึ้นไม่มากนักจากปีก่อนโดยเปรียบเทียบ

เศรษฐกิจซบ…กระทบงบซื้อกระเช้าของขวัญของคนกรุงฯ
จากการสำรวจพฤติกรรมการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ของคนกรุงเทพฯโดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในระหว่างวันที่ 1-20 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา ด้วยจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 555 รายในระหว่างอายุ 15-65 ปี พบว่ามีรายละเอียดดังนี้

-สัดส่วนการซื้อกระเช้าของขวัญ กลุ่มตัวอย่างประมาณร้อยละ 47.7 เลือกที่จะซื้อกระเช้าของขวัญเพื่อมอบให้แก่บุคคลต่างๆต้อนรับปี 2551 และส่วนใหญ่หันมานิยมเลือกมอบของขวัญปีใหม่ให้แก่บุคคลต่างๆด้วยกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่มาจากการจัดซื้อสินค้าด้วยตนเองแล้วนำมาจัดใส่กระเช้า มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 53.5 จากที่ปีก่อนมีสัดส่วนร้อยละ 40.1

-ระดับความเชื่อมั่นต่อคุณภาพสินค้าในกระเช้าของขวัญสำเร็จรูป พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ในสัดส่วนร้อยละ 59.2 มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพสินค้าในกระเช้าในระดับปานกลาง ตามมาด้วยระดับความเชื่อมั่นน้อย(สัดส่วนร้อยละ 26.2) และไม่เชื่อมั่นเลย(สัดส่วนร้อยละ 11.2) อันบ่งบอกได้ระดับหนึ่งว่าคนกรุงเทพฯจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยมั่นใจในคุณภาพของกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปมากนัก สำหรับปัญหาที่ผู้ซื้อกังวลมากที่สุดคือสินค้าที่บรรจุในกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปที่อาจจะหมดอายุในส่วนของอาหาร/ผลไม้กระป๋อง เครื่องดื่มประเภทต่างๆ และขนมคุ้กกี้บรรจุกล่อง ส่วนปัญหาลำดับรองลงมาก็คือความกังวลเกี่ยวกับจำนวนสินค้าที่ไม่ครบตามรายการที่ระบุไว้ สินค้าแตกหัก และสินค้าเน่าเสียในส่วนของผลไม้สด ตามลำดับ

-ผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นต่องบประมาณในการซื้อกระเช้า ของขวัญ ทั้งนี้เมื่อสอบถามถึงภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นว่ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อกระเช้าของขวัญในปีนี้หรือไม่นั้น พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต่างยอมรับว่าได้รับผลกระทบคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 78.7 จึงมีความเป็นไปได้ว่าพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนกรุงเทพฯในส่วนการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ในปีนี้น่าจะเป็นไปในลักษณะที่มีการประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

-งบประมาณการซื้อกระเช้าของขวัญในปีนี้เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เมื่อพิจารณาถึงงบประมาณที่ตั้งไว้ก็พบว่าเกินกว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างต่างมีงบประมาณในการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ปีนี้ลดลงคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.5 ของกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการจะซื้อกระเช้าของขวัญ ซึ่งกลุ่มที่มีงบประมาณลดลงนี้เลือกที่จะซื้อสินค้าของขวัญประเภทอื่นที่มีราคาถูกกว่า หรือซื้อสินค้าเพื่อจัดกระเช้าเองหรือซื้อกระเช้าของขวัญที่มีราคาถูกลง และลดจำนวนผู้ที่จะมอบของขวัญปีใหม่เป็นกระเช้าของขวัญลง ส่วนกลุ่มที่มีงบประมาณในการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่เพิ่มขึ้นที่มีสัดส่วนร้อยละ 42.7 นั้นพบว่าการเพิ่มขึ้นของงบประมาณมาจากการที่ราคาของสินค้าที่นำมาจัดกระเช้า รวมถึงราคากระเช้าของขวัญสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายมีการปรับตัวสูงขึ้นในลักษณะที่มีปริมาณสินค้าลดน้อยลงเมื่อเทียบกับปริมาณสินค้าในระดับราคาเดียวกันของกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปในปีที่แล้ว อันน่าจะเป็นผลมาจากการที่ระดับราคาน้ำมันในประเทศที่ทรงตัวในระดับสูงนับตั้งแต่ต้นปี 2550 จึงส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ประกอบการหลายรายจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาของขวัญโดยรวมตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นด้วย

-จำนวนกระเช้าและราคาต่อกระเช้า นอกจากนี้ทั้งจำนวนกระเช้าที่เลือกซื้อส่วนใหญ่และราคาต่อกระเช้าที่จะซื้อในปีนี้ต่างก็เป็นไปในทิศทางที่ลดลงจากปีก่อน โดยพบว่าในปีนี้คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่จะจัดซื้อ/เตรียมกระเช้าของขวัญเพียง 1 กระเช้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.4 ตามมาด้วยการซื้อ 2 กระเช้า(สัดส่วนร้อยละ 27.7) และการซื้อ 3 กระเช้า(สัดส่วนร้อยละ 10.7) ขณะที่ปีก่อนเลือกซื้อกระเช้าของขวัญ 2 กระเช้าเป็นส่วนใหญ่ในสัดส่วนร้อยละ 36.5 และเมื่อพิจารณาถึงราคาต่อชิ้นที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกซื้อนั้นพบว่ากระเช้าราคาต่ำกว่า 500 บาทได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ จากเดิมที่เคยเลือกซื้อกระเช้าของขวัญราคาต่ำกว่า 500 บาทในสัดส่วนร้อยละ 26.3 ก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.1 ของกลุ่มตัวอย่างในปีนี้ ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วการใช้จ่ายในการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ในปีนี้น่าจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่งผลต่อเนื่องให้ภาวะตลาดกระเช้าของขวัญปีใหม่ในปีนี้น่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนประมาณ 700-800 ล้านบาท ที่น่าจะใกล้เคียงจากปีที่แล้วโดยเปรียบเทียบ

พ่อแม่-ญาติผู้ใหญ่ : ยังคงเป็นกลุ่มผู้รับหลักของสินค้ากระเช้าของขวัญ
จากการสำรวจพบว่า กลุ่มที่นิยมซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ส่วนใหญ่คือกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 20-39 ปีในวัยเรียนวัยทำงานที่ยังคงให้ความสำคัญกับการส่งมอบความสุขให้แก่กันผ่านกระเช้าของขวัญจนยึดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว รวมถึงกลุ่มที่มีรายได้ประมาณ 5,000-20,000 บาท หรือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อเพียงพอ และมีรายละเอียดดังนี้

-กลุ่มผู้รับและราคาที่ซื้อของกลุ่มผู้ซื้อแต่ละวัย พบว่าวัตถุประสงค์หลักของการซื้อกระเช้าของขวัญในกลุ่มอายุ 15-19 ปีนั้นมักจะนำไปมอบให้แก่พ่อแม่ที่เคารพนับถือเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยกลุ่มญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดของครอบครัวอย่างปู่ย่าตายาย และการจับสลากของขวัญ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าแต่ละรายต่างพยายามสร้างสรรค์รูปแบบของบรรจุภัณฑ์หีบห่อให้มีความสวยงามมากขึ้น เพื่อดึงดูดกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งราคากระเช้าสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มอายุ 15-19 ปีก็คือราคาที่ต่ำกว่า 500 บาท ส่วนกลุ่มอายุ 20-34 ปีนั้นนิยมนำไปมอบให้แก่พ่อแม่มากที่สุดเช่นกัน ตามมาด้วยญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ และกลุ่มเพื่อนที่ทำงาน โดยมักจะเลือกซื้อกระเช้าที่มีราคา 500-1,000 บาท ขณะที่กลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไปนิยมซื้อกระเช้าของขวัญเพื่อมอบให้แก่ญาติผู้ใหญ่มากเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยกลุ่มพ่อแม่ กลุ่มเพื่อนฝูงที่ใกล้ชิด/ที่ทำงาน เพื่อการจับฉลากของขวัญในงานเลี้ยงปีใหม่ และกลุ่มลูกค้า/หน่วยงานที่ติดต่อ ซึ่งราคาที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ระดับ 500-1,000 บาทต่อกระเช้า

-ราคากับกลุ่มรายได้ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาทส่วนใหญ่จะซื้อกระเช้าของขวัญในระดับราคาไม่เกิน 500 บาทคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 53.1 ของกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาทโดยรวม ส่วนกลุ่มที่มีรายได้ระหว่าง 5,000-20,000 บาท นิยมซื้อกระเช้าที่มีราคา 500-1,000 บาท(สัดส่วนร้อยละ 49.7 ของกลุ่มผู้มีรายได้ 5,000-20,000 บาทโดยรวม) ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้เกินกว่า 20,000 บาท ส่วนใหญ่มักจะซื้อกระเช้าของขวัญในระดับราคา 500- 1,000 บาทมากที่สุด แล้วจึงตามมาด้วยระดับราคา 1,000-3,000 บาทต่อกระเช้า ซึ่งแตกต่างจากปีก่อนที่กลุ่มนี้มักจะซื้อกระเช้าของขวัญในราคา 1,001-3,000 บาทเป็นส่วนใหญ่เพื่อมอบให้แก่บุคคลต่างๆ โดยน่าจะเป็นผลสืบเนื่องจากผู้ซื้อกระเช้าของขวัญแต่ละรายต่างต้องประหยัดค่าใช้จ่ายและบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาวะที่ค่าครองชีพสูงเช่นปัจจุบัน ประกอบกับกิจการห้างร้านหรือบรรดาผู้ผลิตสินค้าแต่ละรายต่างก็พยายามนำเสนอสินค้าในกลุ่มที่ระดับราคาไม่แพงมากเป็นปริมาณเพิ่มขึ้น ควบคู่กับการนำเสนอกลยุทธ์การให้บริการเงินผ่อนที่ให้ระยะเวลาผ่อนนานขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค จึงทำให้กระเช้าของขวัญที่มีราคาต่อกระเช้าไม่แพงมากนักน่าจะมีวางจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกซื้อมากขึ้นในปีนี้

-แหล่งรายได้เพื่อนำไปซื้อกระเช้าของขวัญ สำหรับแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำไปซื้อกระเช้าของขวัญในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินได้ของตนเองที่นิยมซื้อเพื่อมอบให้กับคนในครอบครัวพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ รวมถึงแฟนและเพื่อนฝูงคนใกล้ชิด โดยกลุ่มนี้จะซื้อกระเช้าของขวัญในระดับราคาที่ไม่เกิน 5,000 บาทต่อกระเช้า ส่วนผู้ที่ใช้เงินของผู้อื่นรวมถึงงบประมาณของบริษัทในการซื้อนั้นพบว่าเป็นการซื้อกระเช้าของขวัญเพื่อมอบเป็นของขวัญกำนัลให้แก่ลูกค้าของกิจการหรือหน่วยงานที่ติดต่อ และผู้บังคับบัญชาเป็นหลัก โดยจะมีระดับราคาของกระเช้าที่ค่อนข้างหลากหลายแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของผู้รับตั้งแต่ระดับราคา 500 บาทต่อกระเช้าไปจนถึงกระเช้าของขวัญที่มีราคาเกิน 10,000 บาท

คุณภาพของสินค้า : เป็นปัจจัยหลักของการเลือกซื้อ…ของคนกรุงเทพฯยุคนี้
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกระเช้าของขวัญต้อนรับปี 2551 ประกอบด้วยหลายปัจจัยประกอบกัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าคุณภาพของสินค้ากลายมาเป็นปัจจัยแรกที่คนกรุงเทพฯใช้ในการพิจารณาก่อนการตัดสินใจซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ในปีนี้ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของกลุ่มตัวอย่าง แล้วจึงตามมาด้วยชนิดของสินค้าที่บรรจุในกระเช้า ความคุ้มค่าของราคาเมื่อเทียบกับสินค้าในกรณีของกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปที่ทางห้างร้านจัดไว้ และราคาของสินค้าที่นำมาจัด/ราคาของกระเช้าของขวัญสำเร็จรูป ขณะที่ปีก่อนพบว่าปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งของคนกรุงเทพฯในการตัดสินใจเลือกซื้อกระเช้าของขวัญคือชนิดของสินค้าที่บรรจุในกระเช้าของขวัญ ทั้งนี้น่าจะเป็นผลมาจากปัญหาของสินค้าในกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปที่ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แม้หน่วยงานภาครัฐจะมีความเข้มงวดมากขึ้นในการคุ้มครองผู้บริโภค และเร่งรณรงค์ให้กิจการร้านค้าที่จำหน่ายกระเช้าของขวัญใส่ใจต่อสินค้าที่นำไปบรรจุในกระเช้าของขวัญมากขึ้นแล้วก็ตาม ประกอบกับการที่ผู้บริโภคในปัจจุบันต่างเผชิญกับภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคแต่ครั้งจึงต้องคุ้มค่าที่สุดกับเงินที่จ่ายไป คุณภาพของสินค้าจึงก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อการตัดสินใจซื้อกระเช้าของขวัญของผู้บริโภคในปีนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อความพึงพอใจสูงสุดต่อทุกฝ่าย

สำหรับชนิดของสินค้าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันดับสองในปีนี้ต่อการตัดสินใจซื้อของบริโภคนั้นพบว่าสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างรังนกหรือซุปไก่สกัดเช่นเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งบ่งบอกได้ถึงสิ่งที่ผู้ให้ต้องการสื่อถึงความเอื้ออาทรห่วงใย และความปรารถนาดีต่อผู้รับได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ผลไม้ตามฤดูกาลทั้งผลไม้ไทยเองและผลไม้จากต่างประเทศ รวมถึงน้ำผัก/น้ำผลไม้ที่ปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้นทั้งในส่วนของรสชาติ รูปแบบบรรจุภัณฑ์ และยี่ห้อทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ต่างก็ได้รับความนิยมตามมาในลำดับรองลงมา นอกจากนี้กลุ่มขนม/คุ้กกี้ หรือช็อกโกแลตเองก็เป็นที่นิยมไม่น้อย โดยเฉพาะการมอบให้แก่กลุ่มลูกหลานและเพื่อนฝูง หรือแฟนในกลุ่มวัยรุ่น ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่น่าสนใจว่าในการจัดเตรียมหรือซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ในปีนี้ คนกรุงเทพฯจำนวนไม่น้อยหันมามอบหนังสือเป็นของขวัญให้แก่กันมากขึ้นหรือติดอันดับ 1 ใน 5 อันดับแรกของสินค้ายอดนิยมที่นำไปจัดใส่กระเช้า ทั้งเพื่อนำไปจับฉลาก เพื่อมอบให้เพื่อนฝูง/บุคคลที่ทำงาน สามีภรรยา/แฟน ลูกหลาน และลูกค้าของกิจการ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นแรงกระตุ้นมาจากการรณรงค์ให้คนไทยหันมารักการอ่านหนังสือกันมากขึ้น และร้านหนังสือหลายแห่งต่างก็มีการจัดหนังสือเป็นชุดๆหลากหลายประเภทและจัดประดับตกแต่งหีบห่อที่สวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้าด้วย ทำให้กระเช้าหนังสือมีแนวโน้มคึกคักมากขึ้นในปีนี้นอกเหนือจากสินค้ายอดนิยมเดิมๆของช่วงเทศกาลปีใหม่ในแต่ละปีที่ผ่านมา

แหล่งซื้อใกล้บ้าน/ที่ทำงาน : ครองใจคนกรุงฯ…ยุคน้ำมันแพง
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ในครั้งนี้ พบว่าปัจจัยสำคัญที่คนกรุงเทพฯใช้ในการตัดสินใจเลือกสถานที่เพื่อซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่อันดับแรกคือ ต้องใกล้บ้านหรือที่ทำงาน เนื่องด้วยเวลาที่มีจำกัด และราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ทำให้แหล่งจำหน่ายกระเช้าปีใหม่ที่ตั้งอยู่ในทำเลใกล้บ้านหรือที่ทำงานจึงเป็นที่นิยมของกลุ่มผู้ซื้อกระเช้าของขวัญอย่างชัดเจนในปีนี้ นอกจากนี้ความหลากหลายของสินค้า และความสะดวกสบายในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ รถไฟฟ้า หรือ รถไฟใต้ดิน ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกแหล่งซื้อกระเช้าของขวัญของคนกรุงเทพฯตามมาเป็นอันดับสองและสามตามลำดับ ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้าที่นอกจากจะมีซูเปอร์มาร์เก็ตของตนเองแล้ว ยังมีดิสเคานท์สโตร์เข้าไปตั้งในห้างสรรพสินค้าบางแห่งด้วย จึงยังคงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ซื้อกระเช้าได้ค่อนข้างครบถ้วนทั้งในส่วนของจำนวนสาขาที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมเมืองในกรุงเทพฯทั้งในย่านที่พักอาศัยและย่านธุรกิจ รวมถึงความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกสรร และความสะดวกสบายในการเดินทาง ประกอบกับกลุ่มตัวอย่างค่อนข้างมั่นใจในคุณภาพของสินค้าที่วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าด้วย จึงทำให้ห้างสรรพสินค้ายังคงสามารถครองใจคนกรุงเทพฯผู้เลือกที่จะซื้อกระเช้าของขวัญเป็นของขวัญปีใหม่ในสัดส่วนถึงร้อยละ 79.8 ของกลุ่มตัวอย่างที่ซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่

แต่หากผู้บริโภคต้องการซื้อกระเช้าของขวัญหรือสินค้าที่จะนำมาจัดกระเช้าของขวัญในราคาถูกย่อมเยาและมีคุณภาพระดับมาตรฐานนั้น มักจะเลือกหรือวางแผนไปเดินซื้อในงานแสดงสินค้าของขวัญและของชำร่วยที่มักจะจัดเป็นประจำในเดือนตุลาคม และเดือนธันวาคมของทุกปี โดยภายในงานก็จะมีผู้ประกอบการเป็นจำนวนมากนำสินค้ามาเสนอขาย ทำให้ผู้บริโภคมีสินค้าให้เลือกอย่างหลากหลายทั้งในส่วนของชนิดสินค้า และรูปแบบสินค้าซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีราคาที่ถูกกว่าราคาปกติ หรือจำหน่ายในระดับราคาขายส่งหรือเป็นราคาสินค้าจากโรงงานโดยตรง หรือหากต้องการซื้อสินค้าที่มีราคาถูกและอยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะนิยมไปซื้อสินค้าหรือกระเช้าของขวัญปีใหม่ทั้งที่ตลาดสดใกล้บ้าน ร้านค้าโชห่วย และดิสเคานท์สโตร์ เนื่องจากตลาดสดจะมีสินค้าประเภทผลไม้ให้เลือกค่อนข้างหลากหลายและสามารถต่อรองราคาได้ ส่วนร้านโชห่วยที่ได้รับความนิยมก็จะเป็นร้านค้าที่อยู่ใกล้บ้านหรือที่ทำงานที่ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยในการเดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้านและยังสามารถต่อรองราคาได้ด้วย ขณะที่ดิสเคานท์สโตร์ก็มีสาขาเป็นจำนวนมากครอบคลุมเกือบทุกมุมเมืองของกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีบริการผ่อนชำระเงิน และส่งสินค้าถึงบ้านด้วยหากซื้อในปริมาณหรือราคาตามกฎเกณฑ์ที่ทางกิจการตั้งไว้

สำหรับช่วงเวลาที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มักจะวางแผนที่จะไปเลือกซื้อกระเช้าของขวัญตามแหล่งจำหน่ายต่างๆก็คือช่วงระยะเวลาก่อนวันปีใหม่ โดยเฉพาะในระหว่างวันที่ 21-31 ธันวาคม 2550 ที่มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 66.8 ตามมาด้วยในระหว่างวันที่ 11-20 ธันวาคม 2550 ที่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.6 ขณะที่การซื้อในช่วงวันปีใหม่ที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันในระหว่างวันที่ 1-10 มกราคม 2550 นั้นมีสัดส่วนร้อยละ 10.4 ซึ่งน่าจะส่งผลให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อกระเช้าของขวัญตามแหล่งต่างๆในกรุงเทพฯคึกคักนับตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปี 2550 เป็นต้นไป ดังนั้นหากกระเช้าของขวัญสำเร็จที่ประกอบไปด้วยสินค้าของสดอย่างผลไม้ ทางกิจการห้างร้านต่างๆควรจะจัดในช่วงใกล้ๆปีใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าเน่าเสียจากการที่จัดเตรียมไว้นานจนเกินไป หรือควรจะหมั่นตรวจสอบสินค้าในกระเช้าด้วยความถี่ที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อรักษาระดับมาตรฐานของสินค้าให้มีคุณภาพอยู่เสมอ

บทสรุป
เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันกระเช้าของขวัญยังคงเป็นสินค้าที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยนิยมเลือกซื้อเพื่อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อนำไปมอบให้แก่บุคคลต่างๆโดยเฉพาะพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ที่ให้ความเคารพนับถือ โดยจากผลการสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในระหว่างวันที่ 1-20 พฤศจิกายน 2550 ด้วยจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 555 ราย พบว่า คนกรุงเทพฯสนใจซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.7 อย่างไรก็ตามจากภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นนั้นพบว่ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อกระเช้าของขวัญในปีนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 78.7 ของกลุ่มตัวอย่างโดยรวม ทำให้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีงบประมาณในการซื้อลดลง โดยวางแผนที่จะลดทั้งจำนวนกระเช้าและราคาต่อกระเช้าที่ซื้อเมื่อเทียบจากปีก่อน จึงมีความเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินหมุนเวียนของสินค้ากระเช้าของขวัญในกรุงเทพฯปีนี้น่าจะมีมูลค่าประมาณ 700-800 ล้านบาท ที่น่าจะใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบจากปีก่อน

นอกจากนี้ทิศทางของกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่ผู้ซื้อจะซื้อสินค้าแล้วนำมาจัดใส่กระเช้าเองนั้นยังคงมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการที่คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่มีความมั่นใจต่อคุณภาพของสินค้าในกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปไม่สูงนัก ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจในครั้งนี้ที่พบว่าปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่คนกรุงเทพฯใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่รับปี 2551 คือคุณภาพของสินค้า ด้วยความต้องการที่จะมอบสิ่งที่ดีให้แก่กันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในวันปีใหม่ และยังตอกย้ำด้วยชนิดของสินค้าที่นิยมเลือกซื้อมากที่สุดในการจัดกระเช้าของขวัญปีใหม่ปีนี้ด้วยกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างซุปไก่สกัด และรังนก รวมถึงผลไม้และน้ำผัก-น้ำผลไม้ โดยเฉพาะการมอบให้กลุ่มผู้รับหลักของกระเช้าของขวัญปีใหม่ต้อนรับปี 2551 อย่างกลุ่มพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ โดยกิจการห้างร้านที่ตั้งอยู่ใกล้บ้าน/ที่ทำงานจะเป็นที่นิยมค่อนข้างโดดเด่นในปีนี้ของคนกรุงเทพฯในการเลือกที่จะเข้าไปจับจ่ายเพื่อซื้อกระเช้าของขวัญปีใหม่ และยิ่งหากเป็นกิจการห้างร้านที่สามารถเดินทางไปมาสะดวกโดยเฉพาะในทำเลที่รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดินผ่านได้ด้วยก็ยิ่งได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นในการที่จะเลือกเข้าไปใช้บริการ อันเป็นผลมาจากปัจจัยทางด้านภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอในปัจจุบันและระดับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น จึงส่งให้ผู้บริโภคคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

จากแนวโน้มภาพรวมของการซื้อกระเช้าของขวัญต้อนรับปี 2551 ที่มีโอกาสจะเติบโตในระดับใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบจากปีก่อน อันเนื่องมาจากผลของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญต่อคุณภาพของสินค้ามากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจห้างร้านและเจ้าของผลิตภัณฑ์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับกระเช้าของขวัญต่างจำเป็นต้องมีความชัดเจนและโดดเด่นทั้งในส่วนของสินค้าและราคาที่เหมาะสม ภายใต้รูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามเพื่อสร้างโอกาสในการช่วงชิงกำลังซื้อของผู้บริโภคในยุคค่าครองชีพแพงเช่นปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสมรภูมิการแข่งขันของตลาดกระเช้าของขวัญในปีนี้เพื่อต้อนรับปี 2551 น่าจะมีความเข้มข้นยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในปีที่ผ่านๆมา ซึ่งก็หวังว่าผู้บริโภคน่าจะได้มีโอกาสในการเลือกสรรสินค้าที่ดีมีคุณภาพสำหรับการจัดกระเช้าของขวัญเพื่อส่งมอบความสุขและความปรารถนาดีให้แก่กันและกันในการส่งท้ายปี 2550 และต้อนรับปี 2551 ตามมาด้วย