แสนสิริ เปิดตัว 2 โครงการคอนโดฯใหม่ Hive Taksin และ Hive Sukhumvit 65

แสนสิริ ชี้ผลวิจัยระบุจุดเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยคนกรุงเทพฯ คือพื้นที่ชั้นกลาง กระแสความนิยมรูปแบบใหม่ใกล้ชีวิตเมืองในราคาตอบโจทย์ สานต่อเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 ทำเลทอง Hive Taksin และ Hive Sukhumvit 65 ภายใต้แบรนด์คอนเซ็ปต์ “Simply Sansiri” มูลค่า 2 โครงการรวม 1,900 ล้านบาท

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากผลวิจัยล่าสุดของฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ มีข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การขยายเส้นทางรถไฟฟ้าจากเขตเมืองชั้นในสู่ชั้นนอก โดยเฉพาะทำเลย่านธนบุรีและสุขุมวิทรอบนอก เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ ที่มีทางเลือกมากขึ้นจากการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมหรืออพาร์ตเมนต์เฉพาะย่านใจกลางเมือง รวมทั้งส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมตามทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าขยายตัวอย่างมาก เนื่องจากการเดินทางระหว่างพื้นที่ชั้นในและชั้นกลางมีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวยังมีราคาขายที่ยังไม่สูงมากนัก เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในวัยเริ่มทำงาน ที่ต่างเข้าจับจองเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ต่างแย่งที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในทำเลดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์คอนเซ็ปต์ Simply Sansiri ในชื่อโครงการ Hive Taksin มูลค่าโครงการขาย 1,510 ล้านบาท และ Hive Sukhumvit 65 มูลค่าโครงการขาย 390ล้านบาทเป็นคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับบน-กลาง โดยนำแนวคิด Simply Sansiri มาเป็นแนวทางสร้างแบรนด์ Hive อย่างต่อเนื่องรวมกับยุทธ์ศาสตร์สำคัญในด้านการเลือกทำเลที่ตั้งที่โดดเด่นออกมาเป็นจุดขายที่ชัดเจนของทั้งสองโครงการ ได้แก่ Simply Easy สำหรับโครงการ Hive Taksin ซึ่งหมายถึง ความสะดวกสบายด้านการเดินทาง เพียง 3 สถานีก็สามารถเดินทางเข้าสู่สาทร ย่านธุรกิจใจกลางเมืองได้โดยง่าย และ Simply Connect สำหรับโครงการ Hive Sukhumvit 65 หมายถึง การเชื่อมต่อทุกความสุขของสุขุมวิท ที่สามารถเชื่อมต่อทั้งเส้นทางสายหลัก และเส้นทางลัดต่าง ๆ ของเส้นสุขุมวิทโดยสะดวก โดยทั้งสองโครงการยังคงเน้นภาพลักษณ์เรียบง่าย คุณภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของแสนสิริ

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้ออกบทวิจัยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในเขต กทม. และปริมณฑล ปี 2550 พบว่า พื้นที่ธนบุรี ปี 2550 ในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวนยูนิตเสนอขายใหม่จำนวน 1,434 ยูนิต และครึ่งปีหลังจำนวน 5,423 ยูนิต แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการขยายตัวอย่างชัดเจน รวมทั้งปีมีจำนวนยูนิตเสนอขายใหม่ 6,857 ยูนิต ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตกว่า 200 % ของจำนวนยูนิตที่มีการเสนอขายในปี 2549 ตามความเจริญในพื้นที่ที่จะตามมา หลังการเปิดให้บริการรถไฟฟ้า โดยเฉพาะตามแนวถนนกรุงธนบุรี มีโครงการเปิดใหม่จำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 9 โครงการ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 1,700 ยูนิต ในปี 2551

สำหรับพื้นที่ย่านส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าย่านสุขุมวิท ซึ่งพื้นที่นี้ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2550 มีโครงการเสนอขายใหม่จำนวน 1,508 ยูนิต และครึ่งปีหลังจำนวน 1,643 ยูนิต รวมทั้งปีมีจำนวนยูนิตเสนอขาย 3,151 ยูนิต รวมทั้งมีความชัดเจนด้านการเริ่มกระจายตัวออกไปจากสุขุมวิท 63 (เอกมัย) โดยมีโครงการเปิดตัวใหม่ในบริเวณดังกล่าว ประมาณ 5 โครงการ จำนวน 1,132 ยูนิต และมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 91% ซึ่งได้รับผลดีจากการสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ความเจริญของเมืองจึงขยายออกตามไปด้วย โดยคาดว่าในปี 2551 จะมียูนิตเสนอขายเข้าใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 3,100 ยูนิต ยึดครองพื้นที่ตั้งแต่ทองหล่อออกไปเป็นส่วนใหญ่

นายเศรษฐา กล่าวเสริมว่า ผลจากแนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับราคาขายตั้งแต่ 8 หมื่นถึงช่วง 1 แสนบาทต่อตารางเมตรนั้น สอดรับกับแผนกลยุทธ์ของแสนสิริในปีนี้ ที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในสไตล์ของแสนสิริออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ไม่ไกลจากย่านธุรกิจกลางใจเมือง ภายหลังจากที่ Hive โครงการแรก บริเวณสถานีเจริญนคร ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี สามารถปิดการขายอย่างรวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ จึงเชื่อมั่นว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางธุรกิจและตามเส้นทางส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้า คือ ย่านธนบุรี รวมทั้งย่านสุขุมวิทรอบนอก ยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

“ปัจจัยด้านจิตวิทยา เรื่องการปรับตัวของราคาน้ำมัน และราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คงไม่กระทบกับโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างของแสนสิริมากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่มีการล็อคราคาค่าวัสดุและค่าก่อสร้างกับบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่ไว้ล่วงหน้าแล้ว ตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคมีการรับรู้ข้อมูลดังกล่าว ตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบมากนัก ในทางกลับกัน กลับเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าเร็วขึ้นด้วย” นายเศรษฐา กล่าว