การประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2551 ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้ง รัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกันหารือถึงปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งออกมาตรการประหยัดพลังงานชุดใหม่ โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ ทั้งมาตรการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเอทานอล 85% การสนับสนุนให้รถยนต์หันมาใช้เอ็นจีวีมากขึ้น การออกมาตรการบังคับทุกหน่วยงานเปิดแอร์ที่ 26 องศาเซลเซียส การใช้รถยนต์รวมกัน รวมถึงจำกัดความเร็วในการขับรถยนต์ที่ไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และการบริจาคเงินค่าการกลั่นไม่เกิน 1 บาท/ลิตรจากราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นด้วยกับมาตรการชุดใหม่นี้ แต่มีข้อสังเกตต่อมาตรการดังกล่าว ดังนี้
การลดกำไรจากการกลั่นน้ำมันดีเซลลิตรละไม่เกิน 1 บาท การที่ผู้บริหารโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของประเทศยินยอมนำเงินส่วนต่างกำไรของการกลั่นน้ำมันดีเซลทุกลิตรไม่เกินลิตรละหนึ่งบาทมาช่วยเหลือประชาชนเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายนี้ เป็นมาตรการที่น่าจะสามารถชะลอการปรับราคาน้ำมันดีเซลที่ขยับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทะยานสูงเกิน 134 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลได้ อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าความร่วมมือดังกล่าวอาจสามารถกระทำได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากเป็นการบิดเบือนกลไกราคา และยังอาจส่งผลให้ไม่เกิดการประหยัดการใช้น้ำมันอย่างที่ควรจะเป็นหากใช้มาตรการดังกล่าวเป็นเวลานานต่อเนื่องกัน
การสนับสนุนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV มากขึ้น ทั้งการยกเว้นอากรนำเข้ารถยนต์ ถัง และอุปกรณ์เอ็นจีวีจากเดิมสิ้นสุดในปี 2551 นี้ออกไปสิ้นสุดปี 2555 รวมถึงการลดภาษีนำเข้าหัวรถยนต์ และแชสซีที่ใช้พลังงานเอ็นจีวีจาก 30% เหลือ 0% ซึ่งจะทำให้ราคารถยนต์ รวมถึงอุปกรณ์ในการติดตั้ง NGV มีราคาถูกลงกว่าเดิม อันจะทำให้ประชาชนหันมาใช้ก๊าซ NGV กันมากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นให้ประชาชนและรถแท็กซี่ให้หันมาใช้ก๊าซ NGV มากขึ้นนี้ เนื่องจาก NGV เป็นพลังงานที่มีความประหยัด และปลอดภัย แต่ประเด็นที่กังวลก็คือ ความสะดวกที่จะได้รับจากการใช้ก๊าซ NGV เนื่องจากความจุของถังก๊าซ NGV ที่ใช้วิ่งได้ระยะทางเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของการใช้น้ำมันจึงทำให้ต้องเติมก๊าซบ่อย อีกทั้งในปัจจุบันมีสถานีบริการก๊าซ NGV เปิดให้บริการเพียงแค่ประมาณ 197 สถานี ซึ่งมีปริมาณค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสถานีบริการน้ำมันประเภทอื่น ทำให้ผู้ใช้บริการต้องเสียเวลาในการหาสถานีบริการและเสียเวลามากในการต่อคิวเติมก๊าซ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนก๊าซบางช่วงเวลาของบางสถานี จากปัญหารถขนส่งก๊าซจากสถานีหลักไปยังสถานีย่อยมีไม่เพียงพอ ทำให้ประเด็นด้านความสะดวกในการใช้จะเป็นปัญหาสำคัญสำหรับผู้ที่หันมาใช้ก๊าซ NGV ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างมาก
การผลิตรถยนต์ E85 การลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันที่มีส่วนประกอบของเอทานอล 85% หรือ E85 เพื่อกระตุ้นให้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์หันมาผลิตรถยนต์ประเภทนี้ให้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้รถยนต์ E85 จะสามารถลดการใช้น้ำมันได้ในปริมาณที่สูง แต่ปัญหาที่เป็นกังวลก็คือจำนวนสถานีบริการน้ำมันประเภทนี้ ซึ่งหากมีไม่เพียงพอต่อความต้องการก็จะทำให้ภาระตกไปอยู่ที่ประชาชนผู้ซื้อรถยนต์ เนื่องจากรถยนต์ E85 จะมีเครื่องยนต์เฉพาะ ซึ่งต้องใช้กับน้ำมัน E85 หากใช้กับน้ำมันประเภทอื่นอาจส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์ได้ นอกจากนี้ ในปัจจุบันสถานีบริการน้ำมันในแต่ละสถานีล้วนมีน้ำมันประเภทต่างๆ อยู่หลากหลาย ทำให้การเพิ่มน้ำมัน E85 ไปอีกหนึ่งประเภทจะเป็นการไปลดพื้นที่สำหรับน้ำมันประเภทอื่นในแต่ละสถานีลง อีกทั้งลดหัวจ่ายน้ำมันประเภทอื่น ซึ่งอาจส่งผลให้การเติมน้ำมันแต่ละประเภทเกิดความไม่สะดวกมากขึ้นก็เป็นได้
โดยสรุป คาดว่ามาตรการประหยัดพลังงานชุดใหม่ของภาครัฐที่ออกมา อาจสามารถทำให้เกิดการประหยัดการใช้พลังงานโดยเฉพาะน้ำมันได้ในระดับหนึ่ง แต่ประเด็นด้านความสะดวกของผู้ใช้บริการที่จะได้รับจากพลังงานทางเลือกที่ภาครัฐสนับสนุนให้ประชาชนใช้โดยเฉพาะก๊าซ NGV และน้ำมัน E85 ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้สามารถเกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง เนื่องจากพลังงานที่ประหยัด และปลอดภัย แต่ขาดซึ่งความสะดวกในการใช้ ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันภาครัฐควรเร่งปลูกฝังจิตสำนึกการประหยัดพลังงานทุกรูปแบบของประชาชนในประเทศ และควรระมัดระวังในการเข้าแทรกแซงกลไกราคา ซึ่งแม้ว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าไปได้บ้าง แต่ก็มิได้เป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันอย่างประหยัด และยังไม่สามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ในระยะยาว