บลจ. ทิสโก้ เผยยอดไอพีโอกอง “ทริกเกอร์ 2” ระดมทุนได้กว่า 700 ล้านบาท เพราะตัวแทนขาย-นักลงทุนเชื่อมั่นหุ้นเอเชียยังเติบโตได้อีก แถมนโยบายรับผลตอบแทนตามเป้าหมาย 15% ยังโดนใจลูกค้า พร้อมแนะช่วงนี้ลงทุนในสินค้าเกษตรมีแนวโน้มสดใส เพราะตลาดโลกฟื้นตัวจากความกังวลเรื่องภาวะขาดแคลนอาหาร-น้ำมันแพง ทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรพุ่ง ชวนลงทุนใน “กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์” กอง FIF อิงราคาสินค้าเกษตรโลกที่ใช้เงินสกุลยูโรซื้อขาย
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า “กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% # 2” ซึ่งเป็นกอง FIF ที่มีนโยบายเน้นลงทุนผ่านกองทุนหุ้นกลุ่มประเทศในเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่น เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan นั้น หลังจากปิดจองซื้อไปเมื่อ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา กองทุนสามารถระดมทุนได้กว่า 719 ล้านบาท โดยยอดขายส่วนใหญ่ของกองทุนมาจากตัวแทนสนับสนุนการขาย (Selling Agents) ซึ่งได้แก่ สาขาของธนาคารที่เป็นตัวแทนสนับสนุนการขาย หรือบริษัทหลักทรัพย์พันธมิตรต่างๆ รวมถึงและธนาคารทิสโก้เอง
“แสดงให้เห็นว่าตัวแทนขายส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวของเอเชีย เนื่องจากในช่วงนี้ดัชนี MSCI AC Asia-Pacific ex Japan มีการปรับตัวลดลงมามากพอสมควร ทำให้เป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้หากดัชนีดีดกลับขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้ ลูกค้าเองก็เชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกว่ามีโอกาสฟื้นตัวและเติบโตต่อไปได้อีก และชอบเงื่อนไขของกองทุนที่จะขายทำกำไรอัตโนมัติเมื่อได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย 15% ภายใน 1 ปี”
พร้อมกันนี้ นายธีรนาถยังได้แนะนำจังหวะการลงทุนในช่วงนี้ว่า จากภาวะความต้องการบริโภคอาหารทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าเกษตรเพื่อใช้ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันซึ่งมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น จึงเชื่อว่าช่วงนี้การลงทุนในสินค้าเกษตรจะมีโอกาสทำกำไรสูง เนื่องจากปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกเริ่มฟื้นตัว จากความกังวลเรื่องภาวะการขาดแคลนอาหาร รวมถึงภาวะราคาน้ำมันแพง ทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น
“เวลานี้จึงเป็นจังหวะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างความความหลากหลายแก่พอร์ตการลงทุน และลดความเสี่ยง ด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่ราคาไม่ผูกพันหุ้นหรือพันธบัตร ซึ่งสินค้าโภคภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งในสินทรัพย์ที่กำลังได้รับความนิยมและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคต”
ซึ่งกองทุนของ บลจ. ทิสโก้ ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนอ้างอิงกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์” โดยเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน DB Platinum Agriculture Euro ซึ่งจดทะเบียนและจัดตั้งในประเทศลักเซมเบิร์ก บริหารและจัดการโดย DB Platinum Advisors เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนอ้างอิงกับผลตอบแทนของดัชนี db Agriculture Euro Index ซึ่งเป็นดัชนีที่มีผลตอบแทนสูง และมีความผันผวนต่ำ โดยอิงราคาสินค้าเกษตร 7 ชนิด ที่มีปริมาณการบริโภคในตลาดโลกสูงสุด ได้แก่ ข้าวสาลี, ข้าวโพด, อ้อย, ฝ้าย, เมล็ดกาแฟ, ถั่วเหลือง และโกโก้ นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มสินค้าเกษตรที่สามารถนำไปใช้ผลิตพลังงานทดแทนได้อีกด้วย
“จุดเด่นที่สำคัญของกองทุนที่มีความแตกต่างจากกองทุนอื่นๆ ในตลาด คือ กองทุนหลัก ซึ่งได้แก่ DB Platinum Agriculture Euro Fund ใช้เงินสกุลยูโรในการซื้อขาย แทนที่จะใช้สกุลเงินอื่น เช่น ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเรามองว่าทิศทางการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกายังมีความไม่แน่นอน ซึ่งหากพิจารณาจากทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการเงินที่ยังประสบปัญหาอยู่ จึงทำให้มองว่าอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกสักระยะหนึ่ง ในขณะที่กลุ่มสหภาพยุโรปเอง มีความชัดเจนกว่า รวมถึงที่ผ่านมาก็ถูกผลกระทบจากภาวะซับไพร์มไม่มากเท่าสหรัฐอเมริกา ดูได้จากตัวเลขการว่างงานของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 5.5% และ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดยังคงตกต่ำอยู่” นายธีรนาถ กล่าว
นอกจากนี้ภาวะความผันผวนของค่าเงินดอลล่าร์เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่เรามองว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และเป็นที่กังวลของทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศต้องปรับลดสัดส่วนการถือครองเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาลง และเพิ่มสัดส่วนเงินสกุลหลักอื่นๆแทน โดยเงินสกุลยูโรก็เป็นหนึ่งในเงินตราสกุลหลักที่มีเสถียรภาพสูง ดังนั้นกองทุนนี้จึงถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตร รวมถึงผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนที่อิงกับสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ “กองทุนเปิด ทิสโก้ อากริคัลเจอร์ ยูโร ฟันด์” ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนเพิ่มเติมได้ ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. ทิสโก้ โทร. 02 633 7351-57 หรือหน่วยลูกค้าสัมพันธ์กองทุนรวม โทร. 02 633 7777 หรือ www.tiscoasset.com