แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของแบงก์ไทยช่วงที่เหลือของปี ’51 … อาจเติบโตชะลอลง

ในไตรมาสแรกของปี 2551 ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยได้รายงานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.6% เทียบกับที่หดตัว 6.1% ในปี 2550 ทั้งนี้ กว่า 75% ของการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาสแรกของปี 2551 ดังกล่าว เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม ตามมาด้วยรายได้ประเภทอื่นๆ และกำไรจากการปริวรรตที่เพิ่มขึ้น

เมื่อพิจารณาเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียม พบว่า รายได้ค่าธรรมเนียมหลักส่วนใหญ่มีการขยายตัวที่สูงขึ้นกว่าปี 2550 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้มีการเติบโตที่ชะลอตัวลงตามไปด้วยในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ดังนี้

รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ที่ผ่านมา
ในไตรมาสแรกของปี 2551 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีรายได้ค่าธรรมเนียมทั้งสิ้นจำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ 5.4% จากไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า รายได้ค่าธรรมเนียมที่ขยายตัวเร่งขึ้นนั้น นำโดย ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับตลาดทุน (ประกอบด้วย บริการที่ปรึกษา, การจัดการออก การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และการค้าตราสารแห่งหนี้, การดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ของลูกค้า และค่านายหน้า) ที่เติบโตจาก 34.6% ในปี 2550 มาที่ 78.0% ในไตรมาสแรกของปี 2551 ค่าธรรมเนียมประเภทอื่นๆ ที่ขยายตัวจาก 27.0% มาที่ 30.4% ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบของค่าธรรมเนียมประเภทอื่นๆ นี้ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่ได้จากบริการการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับสินเชื่อ (ประกอบด้วย การรับรอง อาวัล และค้ำประกัน, บัตรเครดิต, ค่าธรรมเนียมการจัดการ และค่าธรรมเนียมการออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิต) ที่เพิ่มขึ้นจาก 8.5% ในปี 2550 มาที่ 10.9% ในไตรมาสแรกของปีนี้ และค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้ง (รวมบริการบัตรเอทีเอ็ม และบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ) ที่ขยายตัวเร่งขึ้นจาก 2.4% มาที่ 14.5% อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการโอนเงิน-ชำระเงิน (ประกอบด้วย บริการโอนเงินและเรียกเก็บเงิน และค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเช็ค) ขยายตัวลดลงจาก 15.6% ในปี 2550 มาที่ 13.8% ในไตรมาสแรกของปีนี้

ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้รวม (ทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย) ปรากฎว่า สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมต่อรายได้รวม ขยับขึ้นจาก 13.0% ในปี 2550 มาที่ 14.0% ในไตรมาสแรกของปี 2551 ตามการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมในอัตราที่เร่งขึ้น

แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงที่เหลือของปี 2551 … ค่าธรรมเนียมหลายประเภทอาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
จริงอยู่ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมมักจะมีความอ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจน้อยกว่ารายได้หลักของธนาคารพาณิชย์ไทยอย่างรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ แต่เนื่องจากประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ค่าธรรมเนียม ยังคงมาจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินให้สินเชื่อ ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับทิศทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน รายได้ค่าธรรมเนียมประเภทอื่นๆ เช่น ด้านการโอนเงิน และตลาดทุน ก็มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจทางอ้อม โดยผ่านทางการเคลื่อนไหวของปริมาณกิจกรรมทางธุรกิจ และสภาวะการระดมทุน-การทำธุรกรรมในตลาดทุน เป็นต้น ดังนั้น จึงทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมยังคงได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปี 2551 จึงน่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมหลายประเภทของธนาคารพาณิชย์ไทย อาจเผชิญความเสี่ยงที่จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงตาม โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า รายได้ค่าธรรมเนียมรวมของธนาคารพาณิชย์ไทยสำหรับปี 2551 อาจเติบโตในกรอบประมาณ 15-17% ซึ่งแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 13.9% ในปี 2550 แต่ก็สะท้อนว่ารายได้ค่าธรรมเนียมในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปี อาจมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 19.1% ในไตรมาสแรกของปีนี้

เมื่อพิจารณาแยกตามประเภท/กลุ่มค่าธรรมเนียมหลักๆ จะสามารถสรุปรายละเอียดได้ดังนี้

 ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับสินเชื่อ คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงจาก 10.9% ในไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบัตรเครดิตที่เป็นองค์ประกอบหลักของรายได้ค่าธรรมเนียมกลุ่มนี้ มีแนวโน้มชะลอลง ตามอัตราการขยายฐานบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทยที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมด้านอื่นๆ อาทิ การรับรอง อาวัล และค้ำประกัน ตลอดจนค่าธรรมเนียมการจัดการ ยังน่าจะได้รับอิทธิพลจากการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทยที่น่าจะชะลอตัวลง หลังมองว่าความต้องการสินเชื่อน่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ อาทิ ปัญหาเงินเฟ้อ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่สูงขึ้น

ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้ง คาดว่าจะสามารถรักษาอัตราการขยายตัวสำหรับทั้งปี 2551 ที่เป็นเลขสองหลักได้ต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้ แต่อาจด้วยอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเล็กน้อย ทั้งนี้ เนื่องจากค่าธรรมเนียมดังกล่าว จะครอบคลุมค่าธรรมเนียมในการทำบัตรเอทีเอ็ม ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มรายปี ค่าบริการถอนเงินข้ามเขต ค่าบริการ Telefax เป็นต้น ทำให้ค่าธรรมเนียมประเภทนี้ มีความสัมพันธ์ค่อนข้างมากกับการเคลื่อนไหวของจำนวนบัญชีเงินฝาก โดยเฉพาะบัญชีเงินฝากรายย่อย (กำหนดให้มีวงเงินฝากต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อบัญชี) ทั้งนี้ จากการติดตามความเคลื่อนไหวของจำนวนบัญชีเงินฝากรายย่อยดังกล่าว พบว่าแม้จะยังคงมีอัตราการขยายตัวประมาณ 6.7-7.0% ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ แต่ก็เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงจาก 7.5% ณ สิ้นปี 2551 และ 9.2% ณ สิ้นปี 2550 ทำให้คาดว่าแนวโน้มการขยายตัวของบัญชีเงินฝากรายย่อยดังกล่าว ณ สิ้นปี 2551 น่าจะรักษาอัตราการขยายตัวใกล้เคียงกับปีก่อน หรือชะลอตัวลงเล็กน้อย ซึ่งน่าจะจำกัดการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้งในช่วงที่เหลือของปีนี้

ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการโอนเงิน-ชำระเงิน คาดว่าจะเติบโตเร่งขึ้น โดยได้รับปัจจัยหนุนหลัก คือ การเร่งขยายช่องทางการให้บริการของธนาคารพาณิชย์ไทย ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มจำนวนตู้เอทีเอ็ม สาขา และการรุกช่องทางการให้บริการอื่นๆ อาทิ การให้บริการผ่านมือถือ ซึ่งคงจะทำให้ลูกค้าธนาคารสามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวได้สะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แม้ว่ากิจกรรมการใช้จ่ายภายในประเทศที่วัดจากอัตราการเติบโตของจีดีพี อาจมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่รายได้ค่าธรรมเนียมดังกล่าว อาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อันจะทำให้มูลค่าการโอนเงินและชำระเงินไม่ได้ลดน้อยถอยลงตามไปด้วย

ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับตลาดทุน คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากคาดว่ารายได้หลักในกลุ่มนี้อย่าง การจัดการออก การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และการค้าตราสารแห่งหนี้ (Underwriting Business) อาจชะลอตัวลงตามปริมาณการออกหลักทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งคาดว่าจะเผชิญอุปสรรคจากแนวโน้มการออกตราสารหนี้และตราสารทุนที่มีโอกาสชะลอตัวลง ท่ามกลางภาวะการลงทุนในตลาดทุนที่ยังไม่เอื้ออำนวย หลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านการเมือง และทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่สูงขึ้น

สำหรับค่าธรรมเนียมประเภทอื่นๆ นั้น เนื่องจากยังไม่สามารถแบ่งแยกองค์ประกอบได้ชัดเจน จึงทำให้ประเมินทิศทางได้ค่อนข้างลำบาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่าธรรมเนียมดังกล่าวประกอบด้วยรายได้ค่าธรรมเนียมจากการประกัน (Bancassurance) ดังนั้น จึงน่าจะได้รับอิทธิพลบางส่วนจากแนวโน้มธุรกิจ Bancassurance ที่อาจชะลอลงตามทิศทางของเบี้ยประกันภัยรับในภาพรวม ซึ่งเป็นการปรับตัวที่สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมือง

โดยสรุป ในไตรมาสแรกของปี 2551 ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย รายงานรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตเร่งขึ้นจาก 13.9% ในปี 2550 มาที่ 19.1% โดยเป็นผลจากการเติบโตที่เร่งขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมเกือบทุกประเภทหลัก

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมในช่วงที่เหลือของปีนี้นั้น แม้ว่า ตามปกติแล้ว รายได้ค่าธรรมเนียมมักจะมีความอ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจน้อยกว่ารายได้หลักของธนาคารพาณิชย์ไทยอย่างรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ แต่เนื่องจากประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ค่าธรรมเนียม ยังคงมาจากธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินให้สินเชื่อ ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับทิศทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน รายได้ค่าธรรมเนียมประเภทอื่นๆ เช่น ด้านการโอนเงิน และตลาดทุน ก็มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจทางอ้อม ดังนั้น จึงทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมยังคงได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปี 2551 อาจมีผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมหลายประเภทของธนาคารพาณิชย์ไทย เติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงตาม โดยรายได้ค่าธรรมเนียมรวมของธนาคารพาณิชย์ไทยสำหรับปี 2551 อาจเติบโตในกรอบประมาณ 15-17% ซึ่งแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 13.9% ในปี 2550 แต่ก็สะท้อนว่ารายได้ค่าธรรมเนียมในอีก 3 ไตรมาสที่เหลือของปี อาจมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 19.1% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ประเภทค่าธรรมเนียมที่มีความเสี่ยงจะขยายตัวในกรอบที่ลดลง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมด้านอิเล็กทรอนิกส์แบงก์กิ้ง และค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับตลาดทุน

ด้านสัดส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมต่อรายได้รวม (ทั้งรายได้ดอกเบี้ยและมิใช่ดอกเบี้ย) ของปี 2551 นั้น อาจลดลงจาก 14.0% ในไตรมาสแรกของปี 2551 เล็กน้อย เพราะนอกจากรายได้ค่าธรรมเนียมจะมีโอกาสที่ขยายตัวในอัตราที่ลดลงแล้ว ยังจะเป็นผลจากการที่รายได้รวม โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ย (มีส่วนแบ่งตลาดถึงประมาณ 80%) มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเร่งขึ้น ในช่วงวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น นั่นคือ หากธนาคารพาณิชย์ไทยมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม พร้อมๆ กับเงินฝากประจำเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากที่ ธปท.ถูกคาดหมายว่า อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินให้กู้ยืมและเงินฝากประจำของธนาคารพาณิชย์ไทยดังกล่าว มักจะส่งผลดีต่อรายได้ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ แต่จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับขนาดและลักษณะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย

อย่างไรก็ตาม การประเมินภาพทิศทางรายได้ค่าธรรมเนียมเป็นรายธนาคารอาจแตกต่างออกไป เนื่องจากขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่นๆ ด้วย อาทิ การจัดรายการส่งเสริมการขาย การขยายช่องทางการให้บริการ ความสะดวกของจุดบริการ และคุณภาพ/ความรวดเร็วของบริการ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางการขายของธนาคารนั้นๆ เป็นธนาคารหลัก (Main Bank) อันย่อมจะมีผลต่อเนื่องมายังการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดรายได้ค่าธรรมเนียมของแต่ละธนาคารที่ไม่เท่ากัน