ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ต้องเผชิญกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ ปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหายอดขายลดลงจากผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย โดยธุรกิจหนึ่งที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเช่นกันก็คือธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนหนึ่งอาจลดการโทรที่ไม่จำเป็นลง อย่างไรก็ตาม ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจได้รับ อานิสงค์จากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยคาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในการลดการเดินทางและหันมาใช้การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งอาจช่วยให้มูลค่าตลาดยังคงเติบโตได้สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ทั้งนี้ ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ถือว่ามีความสำคัญกับประเทศไทยค่อนข้างมาก โดยจากผลการศึกษา พบว่า ในปี 2550 ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้สร้างเม็ดเงินทั้งโดยตรงและโดยอ้อมแก่ระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 393,000 ล้านบาท ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงวิเคราะห์ถึงภาพรวมสถานการณ์ของตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในครึ่งปีแรก ตลอดจนแนวโน้มในครึ่งปีหลังของปี 2551 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
ภาวะตลาดช่วงครึ่งปีแรก … เผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อ แต่ยังคงเติบโต
ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในครึ่งแรกของปี 2551 อยู่ในภาวะที่ต้องเผชิญปัจจัยลบจากเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแรงกดดันจากราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง อย่างไรก็ตาม ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงเติบโตได้ในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีก่อน ดังจะเห็นได้จากสัญญาณการเติบโต ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนด้านบริการไปรษณีย์และโทรคมนาคม ณ ราคาคงที่ ไตรมาสที่ 1 ขยายตัวประมาณร้อยละ 9.2 และยอดรายได้จากบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ให้บริการ ไตรมาสที่ 1 ขยายตัวประมาณร้อยละ 7.7 โดยเฉลี่ย แม้คาดว่าปริมาณการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่และรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue per User: ARPU) ในช่วงครึ่งปีแรกจะชะลอตัวลงจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นและจำนวนเลขหมายที่เพิ่มขึ้น แต่ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคลดการเดินทางที่ไม่จำเป็นลง และหันมาใช้การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่แทน ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญของผู้ให้บริการในวิกฤตการณ์เช่นนี้ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังเริ่มกลับมาใช้กลยุทธ์แข่งขันกันลดราคาและจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการใช้บริการ เช่น โปรโมชั่นคิดค่าโทรในอัตราที่ต่ำ โปรโมชั่นฟรีค่าบริการเคเบิ้ลทีวี โปรโมชั่นคิดค่าโทรและบริการเสริมราคาถูกสำหรับลูกค้าองค์กร เป็นต้น รวมทั้งในช่วงครึ่งปีแรกมีการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ซึ่งทำให้ยอดการใช้บริการเสริมเพิ่มขึ้นจากปกติ โดยเฉพาะยอดการใช้ SMS (Short Message Service) ในการร่วมสนุกในรายการที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลยูโร โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในครึ่งปีแรกของปี 2551 ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีมูลค่าประมาณ 87,827 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 5 โดยแบ่งเป็นตลาดบริการด้านเสียง (Voice Service) มีมูลค่าประมาณ 79,238 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 4 และตลาดบริการเสริมที่ไม่ใช่เสียง (Non-Voice Service) มีมูลค่าประมาณ 8,589 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 15
ในส่วนของภาวะการแข่งขันของผู้ให้บริการในตลาด พบว่า ตลาดบริการด้านเสียงยังคงมีการแข่งขันด้านราคาอยู่ โดยผู้ให้บริการแต่ละรายเริ่มกลับมาทำการแข่งขันกันลดราคาค่าบริการให้ถูกลงอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ชะลอการแข่งขันในสงครามราคาลง โดยขณะนี้ราคาค่าบริการต่ำที่สุดสำหรับลูกค้ารายเดือน (Post-Paid) อยู่ที่ประมาณ 0.2 บาทต่อนาที และลูกค้าเติมเงิน (Pre-Paid) อยู่ที่ประมาณ 0.25 บาทต่อนาที อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตุว่าผู้ให้บริการบางรายเริ่มชะลอการใช้กลยุทธ์มุ่งเน้นกำไรจากค่า IC โดยจากเดิมที่มักจะตั้งราคาค่าบริการที่ต่ำมากสำหรับการโทรในเครือข่ายเดียวกันและการโทรนอกเครือข่ายจะมีราคาสูงกว่า ซึ่งจะทำให้ได้กำไรจากค่า IC แต่ก็มีผลเสียทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการโทรและตามมาด้วยปริมาณการโทรที่ลดลง โดยผู้ให้บริการเริ่มหันมาเน้นการทำโปรโมชั่นกระตุ้นปริมาณการโทรมากขึ้น ส่วนตลาดบริการเสริมฯ มีการแข่งขันด้านราคาไม่มากนัก แต่จะแข่งกันที่คุณภาพการให้บริการ โดยมีการแข่งขันกันออก Content ใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าองค์กร รวมทั้งยังมีการแข่งขันกันด้านความเร็วในการให้บริการด้านข้อมูล เช่น บริการ Mobile Internet การดาวน์โหลดข้อมูลด้านภาพและเสียง เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ให้บริการแต่ละรายได้เข้าไปร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการทำรายการส่งเสริมการตลาดแก่ผู้บริโภคในตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มคนรักกีฬา กลุ่มคนรักภาพยนตร์ กลุ่มคนรักข่าวสาร กลุ่มคนรักช้อปปิ้ง เป็นต้น
แนวโน้มตลาดครึ่งปีหลัง … คาดแรงหนุนจากการปรับตัวยุคน้ำมันแพงและการเปิดตัว 3G
สำหรับแนวโน้มตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 คาดว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวของผู้บริโภคที่รับรู้ถึงแนวโน้มราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้สามารถวางแผนลดการเดินทางที่ไม่จำเป็นและหันมาใช้การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้น รวมทั้งภาคธุรกิจซึ่งคาดว่าจะต้องปรับตัวเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงานและหันมาใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมากขึ้น เช่น การประชุมผ่าน Video Conference การทำงานที่บ้าน (Work at Home) เป็นต้น ตลอดจนการเริ่มเปิดให้บริการระบบ 3G บนคลื่นความถี่เดิม โดยเฉพาะเทคโนโลยี HSPA (High Speed Packet Access) ที่คาดว่าผู้ให้บริการจะสามารถเปิดให้บริการได้อย่างเต็มตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี ก็น่าจะช่วยกระตุ้นตลาดให้กลับมาคึกคักมากขึ้น เนื่องจากความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจะดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานไปสู่การทำงานที่บ้าน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราค่าบริการที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน ตลอดจนการนำเทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) มาใช้ใน Sim Card ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งจะทำให้มีบริการใหม่ๆ มากขึ้น เช่น การชำระเงินค่าสินค้าและบริการที่ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังคงเร่งตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จะส่งผลให้ผู้บริโภคต้องเผชิญแรงกดดันจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ค่อยสดใสนัก ตลอดจนความคืบหน้าของการขยายบริการ 3G ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น พฤติกรรมการรับรู้และตอบสนองต่อระบบ 3G ของผู้บริโภค ความชัดเจนและกำหนดการของการออกใบอนุญาตในระบบ 3G เป็นต้น ซึ่งล้วนมีผลต่อการเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบของผู้ให้บริการ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 จะมีมูลค่าประมาณ 88,537 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 5.5 โดยแบ่งเป็นตลาดบริการด้านเสียงมีมูลค่าประมาณ 80,381 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5 และตลาดบริการเสริมฯ มีมูลค่าประมาณ 8,156 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 17
จากผลดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตลอดปี 2551 มีมูลค่าประมาณ 176,364 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 5.3 เป็นการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปีก่อน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 167,550 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 5.9 นอกจากนี้ หากแบ่งเป็นตลาดบริการด้านเสียงจะมีมูลค่าประมาณ 159,619 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 4.3 และตลาดบริการเสริมฯ มีมูลค่าประมาณ 16,745 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 16 ในส่วนของจำนวนเลขหมายก็คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 60 ล้านเลขหมาย ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนจำนวนเลขหมายต่อประชากร (Penetration Rate) เพิ่มขึ้นไปใกล้เคียงกับระดับร้อยละ 100 มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่จำนวนเลขหมายเพิ่มขึ้นนี้สาเหตุสำคัญมาจากการที่ผู้บริโภคในตลาดส่วนหนึ่งหันมานิยมใช้เลขหมายที่สองมากขึ้น เนื่องจากการจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมตลาดของผู้ให้บริการ แต่หากพิจารณาจากจำนวนผู้มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งคาดว่าจะมีอยู่ประมาณ 30 ล้านคน และมักจะกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญในภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ขาดโอกาสการเข้าถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทธุรกันดาร ซึ่งผู้ให้บริการมีโอกาสในการขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในพื้นที่ดังกล่าวได้ รวมทั้งยังมีโอกาสขยายตลาดในกลุ่มอายุใหม่ๆ ด้วย เช่น กลุ่มอายุก่อนวัยรุ่น (Preteen) กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น
ประเด็นเพิ่มเติมที่ควรติดตาม
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่ายังมีประเด็นที่น่าสนใจและคาดว่าจะมีผลต่อตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งควรจับตามองอย่างใกล้ชิด ดังนี้
ระบบ 3G ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการบนคลื่นความถี่เดิมอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในปีนี้และบนคลื่นความถี่ใหม่ได้ภายในปีหน้า โดยมี 2 ประเด็นที่ควรจับตามอง ได้แก่ การลงทุนของผู้ให้บริการ ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะการแข่งขันในตลาด โดยเฉพาะในตลาดบริการเสริมฯ และกำหนดการและกฎระเบียบการออกใบอนุญาตของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันของผู้ให้บริการ
WiMAX (Worldwide Interoperability for Microwave Access) เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต บรอดแบนด์ไร้สายที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นคู่แข่งขันกับระบบ 3G อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเข้ามาลงทุนในเทคโนโลยีนี้ด้วย เพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมระบบ 3G เนื่องจากการใช้ Mobile Internet ผ่านระบบ 3G จะเหมาะกับภาวะการใช้งานที่เคลื่อนที่ ส่วน WiMAX จะเหมาะกับการใช้งานขณะอยู่กับที่
Digital Content ที่ผ่านมาการพัฒนา Content ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงและตรงจุดยังมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดเฉพาะกลุ่ม โดยอุปสรรคส่วนหนึ่งมาจากการที่ความเร็วในการรับส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังมีไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากการเปิดให้บริการระบบ 3G ก็คาดว่าจะส่งผลให้เกิดการพัฒนา Content ใหม่ๆ ที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในวงกว้างได้มากขึ้น อีกทั้งหากผู้ให้บริการต้องการให้ระบบ 3G ประสบความสำเร็จก็จำเป็นต้องเร่งพัฒนาหรือสนับสนุนให้เกิดการพัฒนา Content ให้มากกว่าในขณะนี้
Number Portability หรือบริการคงสิทธิเลขหมาย คาดว่าจะเข้ามาทำให้เกิดการแข่งขันของผู้ให้บริการมากขึ้นทั้งในด้านคุณภาพและราคา เนื่องจากผู้ให้บริการต้องพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่เพิ่มสูงมากนัก หากมีการแข่งกันด้านราคาอย่างรุนแรง ส่วนผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นจากโอกาสในการเปลี่ยนเครือข่ายในการใช้งานได้ง่ายขึ้น ทำให้สามารถเลือกเครือข่ายที่เหมาะสมมากที่สุด นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดสรรทรัพยากรก็จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้จำนวนเลขหมายสะท้อนจำนวนผู้ใช้งานได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าหลังการเปิดให้บริการอาจจะเกิดการเปลี่ยนเครือข่ายของผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำหนดกฎกติกาที่รัดกุมและเป็นธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายจากการเปลี่ยนเครือข่ายได้
สรุปและข้อคิดเห็น
ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในครึ่งปีแรกของปี 2551 ต้องเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลง อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับอานิสงค์จากสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากทำให้ผู้บริโภคต้องหันมาปรับตัวลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและหันมาใช้การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่แทน รวมทั้งยังได้แรงหนุนจากการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2008 ที่ช่วยให้ยอดการใช้ SMS เพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงปกติ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในครึ่งปีแรกของปี 2551 ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 87,827 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 5
ในส่วนของครึ่งปีหลังของปี 2551 คาดว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยบวกจากการปรับตัวของผู้บริโภคที่รับรู้ถึงแนวโน้มราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้สามารถวางแผนลดการเดินทางที่ไม่จำเป็นและหันมาใช้การติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้น รวมทั้งภาคธุรกิจซึ่งคาดว่าจะต้องปรับตัวเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงานและหันมาใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมากขึ้น ตลอดจนการเริ่มเปิดให้บริการระบบ 3G บนคลื่นความถี่เดิมก็น่าจะช่วยกระตุ้นตลาดให้กลับมาคึกคึก อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังคงเร่งตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จะส่งผลให้ผู้บริโภคต้องเผชิญแรงกดดันจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ค่อยสดใสนัก ตลอดจนการขยายบริการระบบ 3G ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค นโยบายรัฐ เป็นต้น ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 จะมีมูลค่าประมาณ 88,537 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 5.5
จากผลดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตลอดปี 2551 มีมูลค่าประมาณ 176,364 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 5.3 เป็นการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปีก่อน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 167,550 ล้านบาท ขยายตัวประมาณร้อยละ 5.9
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่ายังมีประเด็นอื่นๆ ที่จะมีผลต่อตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้แก่ การลงทุนของผู้ให้บริการและนโยบายของรัฐในระบบ 3G การลงทุนในเทคโนโลยี WiMAX การพัฒนา Digital Content และการเปิดให้บริการคงสิทธิเลขหมาย (Number Portability)


