ไทยสมเด็จฯ ชี้แนวโน้มธุรกิจการให้บริการคลังสินค้าในเขตปลอดอากรในไทยมีโอกาสโตสูง

ไทยสมเด็จ โลจิสติกส์ ชี้แนวโน้มธุรกิจการให้บริการคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone) ในไทย มีโอกาส โตขึ้นอีกมาก เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางด้านศุลกากรที่จะได้รับ สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ความพร้อมด้าน โลจิสติกส์ และค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการรวมทั้งเกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการและกระจายสินค้า รวมถึงการตอบสนองความต้องการทางลูกค้าได้อย่างทันท่วงที

นายพิเชษฐ์ ฉันท์เศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสมเด็จ โลจิสติกส์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone) และระบบโลจิสติกส์ครบวงจร (Logistics Service Provider) เปิดเผยว่า “จากการแข่งขันทางด้านธุรกิจที่สูงมากในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าหรือการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

เขตปลอดอากร หรือ FREE ZONE จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ให้ผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าส่งออกสินค้า เนื่องจากทางกรมศุลกากรได้มอบสิทธิประโยชน์ปลอดภาษีให้กับผู้ประกอบการที่นำสินค้าข้ามาจัดเก็บในเขตปลอดอากร ก่อนที่จะกระจายสินค้าไปตามที่ต่างๆ ซึ่งในหลายประเทศต่างเริ่มให้ความสำคัญกับเขตปลอดอากร หรือ FREE ZONE มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี จีน และมาเลเซีย เป็นต้น

จากเดิมที่ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ มักใช้สิงคโปร์เป็นจุดพักสินค้าในการกระจายสินค้าไปประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอินโดจีน เนื่องจากสิงคโปร์เป็นเมืองท่า แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการเริ่มให้ความสนใจและหันมาพักสินค้าในเขตปลอดอากรของประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เนื่องจากความพร้อมทางด้านการขนส่ง ข้อได้เปรียบทางสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่อยู่ตรงศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ซึ่งอำนวยความสะดวก ช่วยประหยัดเวลาในการขนส่ง และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงงาน หรือค่าเช่าพื้นที่ที่ถูกกว่าประเทศสิงคโปร์

สำหรับบริษัท ไทยสมเด็จ ซึ่งมีความชำนาญด้านพิธีการศุลกากรมานานกว่า 38 ปี ได้เริ่มเปิดให้บริการคลังสินค้าในเขตปลอดอากรตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมวินโคสท์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นจุดที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างท่าเรือแหลมฉบัง สนามบินสุวรรณภูมิ และท่าเรือกรุงเทพ อีกทั้งยังอยู่ใกล้เขตโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิคมบางพลี นิคมบางปู เป็นต้น

บริษัทฯ ได้ใช้กลยุทธ์การทำการตลาดแบบออนไลน์ (Internet Marketing) ที่เข้าถึงลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 มีเว็บไซต์ให้ข้อมูล รวมถึงระบบ SOA (Search Engine Optimization) ที่สามารถบอกได้ว่าลูกค้าที่เข้ามาดูเว็บไซต์อยู่ที่ไหนให้ความสนใจในด้านใดบ้าง ในช่วงแรกยอมรับว่า ลูกค้ายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเขตปลอดอากรและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากทางกรมศุลกากร แต่หลังจากเปิดให้บริการมาเป็นเวลา 1 ปี ก็ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการมาจากหลากหลายธุรกิจ อาทิ ผู้ประกอบการเกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สุขภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ไม่เป็นอันตราย และเม็ดพลาสติก เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการนำระบบ Warehouse Management System (WMS) มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคลังสินค้าเพื่อให้รวดเร็ว แม่นยำ และมีความยืดหยุ่น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงและภาระในเรื่องการบริหารจัดการสินค้า ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถตั้งจำนวนสินค้าขั้นต่ำในการฝากเก็บไว้ เมื่อถึงจุดขั้นต่ำระบบจะทำการเตือนอัตโนมัติ และ มีการเติมเต็มสินค้าทันที จึงช่วยสนับสนุนระบบซัพพลายเชนของลูกค้าแบบ Just-in-time ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระยะเวลาของผู้ประกอบการในการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าที่สั่งซื้ออีกทอดหนึ่งได้ นอกจากนี้ ยังได้นำระบบไอทีอื่นๆ เข้ามาใช้เพื่อช่วยรถต้นทุนในการผลิต และการบริหารงานต่างๆ อาทิ ระบบ Paperless ช่วยสนับสนุนการทำงานเพื่อลดปริมาณการใช้กระดาษ, ระบบ Digital Image Achieve ให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดรายละเอียดเอกสารต่างๆ รวมถึงข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับพิธีการศุลกากร ได้จากทางเว็บไซด์ของบริษัท และระบบ Documentation and Accounting Systems ซึ่งช่วยในการวางบิลลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องตามความต้องการของลูกค้า

ด้วยจุดแข็งของไทยสมเด็จที่มีประสบการณ์ด้านพิธีการศุลกากร สถานที่ตั้งของคลังสินค้าปลอดอากร เทคโนโลยีที่ช่วยลูกค้าในการบริหารคลังสินค้า และกลยุทธ์การทำตลาด ตลอดจนความมุ่งมั่นของบริษัทที่ต้องการจะเป็นผู้ให้บริการทางด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Logistics Service Provider) ทำให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เริ่มให้บริการใช้พื้นที่ในเฟสแรก 2,640 ตารางเมตร จนถึงปัจจุบันบริษัทฯ ที่ให้บริการมาเกือบ 1 ปี ได้มีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมในเฟส 2 อีก 2,070 ตารางเมตร ซึ่งได้ใช้พื้นที่ไปมากกว่า 80% และคาดว่าจะมีการเพิ่มพื้นที่อีกในเดือนหน้า เนื่องจากมีความต้องการจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

“สำหรับแนวโน้มธุรกิจการให้บริการคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone) ในประเทศไทย มีโอกาสโตขึ้นอีกมาก เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางด้านศุลกากร สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ความพร้อมด้านการบริการโลจิสติกส์ และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน ที่ถูกกว่าประเทศสิงคโปร์ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ รวมทั้งเกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการและกระจายสินค้า ตอบสนองความต้องการทางลูกค้าได้อย่างทันท่วงที หากภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจนและได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บและกระจายสินค้า อีกทั้งสามารถแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ได้ต่อไปในอนาคต” นายพิเชษฐ์ กล่าวปิดท้าย