ดิ เอ็มโพเรี่ยม จัดเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ ในงาน Emporium Asset & Wealth Management 2008

ดิ เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ จัดเสวนาเชิงแลกเปลี่ยนความรู้ในงาน “Emporium Asset & Wealth Management Expo 2008” ชวนกูรูด้านการเงินและดารานักแสดงชื่อดังร่วมเผยเคล็ดลับการออมและการลงทุนเพื่ออนาคต พร้อมแนะวิธีการลงทุนในหลากหลายช่องทางให้ประสบความสำเร็จสูงสุด

บรรยากาศภายในงานคึกคักด้วยผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังเสวนา ภายในงานมีการเชิญกูรูด้านการเงินการธนาคาร มาเป็นผู้ให้ความรู้ความเข้าใจโดยมีดารานักแสดงชื่อดัง ร่วมพูดคุยเพื่อเป็นการแนะนำการออมและการลงทุน โดยแต่ละหัวข้อมีความน่าสนใจและเคล็ดลับแตกต่างกันไป

สำหรับหัวข้อแรก “พ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝาก” โดยคุณฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด และ คุณมณีพร ดวงมณี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากองทุนธุรกิจและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ร่วมกันแนะนำช่องทางการลงทุนในโอกาสที่ พ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้ไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทขึ้นไป ในขณะเดียวกันต้องทราบก่อนว่า พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศไทยเองมีการพูดถึงเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเทศอื่นๆก็มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.เงินฝากเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย หรือกระทั่งประเทศ ลาว ก็ตาม ส่วนในประเทศไทยจากนี้ไป ในรอบ 5 ปีการคุ้มครองเงินฝากจะลดลงไปเรื่อยๆ และเริ่มมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยในปีนี้จะยังคุ้มครองอยู่ที่ 100% หรือเต็มวงเงินฝาก เมื่อเข้าสู่ปีที่สองความคุ้มครองจะเหลือเพียง 100 ล้านบาท 50 ล้านบาท 10 ล้านบาท และ 1 ล้านบาทในปี 2555 แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนหมู่มากจะได้รับผลกระทบ เพราะกลุ่มคนที่มีเงินฝากธนาคารเกิน 1 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่เพียง 1% เท่านั้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะพยายามมองหาการลงทุนใหม่ๆที่ไม่ใช่การฝากเงินเข้าธนาคาร ซึ่งอาจะเป็นการลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือหากผู้ที่ไม่ต้องการลงทุนในช่องทางอื่น แต่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาทในธนาคารเดียวกัน ก็สามารถกระจายเงินฝากไปยัง ธนาคารอื่นๆให้เป็น 1 ธนาคาร 1 บัญชี บัญชีละ 1 ล้านบาทได้ เช่นกัน แต่นั่นคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเราจึงควรมองหารูปแบบการออมและการลงทุนทางเลือกอื่นเพื่อปรับตัวให้เข้ากับข้อกำหนดใหม่นี้

หัวข้อถัดมา เป็นเรื่องของ “การลงทุนในภาวะเงินเฟ้อ” โดย คุณหรรสา สุสายัณห์ ผู้จัดการฝ่ายจัดการกองทุน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)และ เปิ้ล-หัทยา วงษ์กระจ่าง ดีเจและนักแสดงชื่อดังตัวแทนครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งคุณหรรษากล่าวว่า ปัจจุบันตัวเลขภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 6-7% และเป็นปัญหาที่รัฐบาลเองก็ไม่รู้จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งหากเป็นคนที่มีเงินออมอยู่แล้วก็แน่นอนว่าดอกเบี้ยเงินฝากติดลบ และหากถามว่าจะฝากเงินอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นหากต้องการให้เงินออมงอกเงยก็ต้องมองหาการลงทุนในช่องทางอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้ เปิ้ล-หัทยา ได้ให้ความสนใจอย่างมาก โดยบอกว่าตนเองนั้นมีการลงทุนอยู่แล้วในเรื่องของการทำรายการวิทยุ หรือการทำละคร ในขณะเดียวกันก็มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วยการซื้อคอนโดมิเนียมแล้วปล่อยเช่าซึ่งมองว่าน่าจะดีกว่าการขาย อีกทั้งในปัจจุบันมีครอบครัวแล้ว การออมและการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในอนาคตจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งคุณหรรษา ได้ให้คำแนะนำว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งหากอยู่ในทำเลที่ดี ผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วย ในขณะเดียวกันการเลือกลงทุนในหุ้น พันธบัตรหรือกองทุนต่างๆก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถทำได้ โดยให้ดูจากอัตราตอบแทนที่จะได้มาว่าคุ้มค่าสูงสุดหรือไม่

ด้านหัวข้อ “โอกาสการลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุน FIFs(Foreign Investment Funds)” นั้นถือเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก โดยคุณ เคท หัตถีรัตน์ CFA หัวหน้าการลงทุนด้านตราสารหนี้ และคุณรัตนวรรณ แสงกิติโกมล ผู้จัดการกองทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน จำกัด สองผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่า ก่อนการลงทุนในต่างประเทศผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของประเทศนั้นๆทั้งเรื่องเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทน ความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ที่เราสนใจจะเข้าไปลงทุน เช่น ในอเมริกาต้องดูว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นนั้นกระทบกับผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ถ้ากระทบน้อยก็ต้องตามต่อไปว่ากระทบโดยตรงหรือไม่ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ประเทศที่เศรษฐกิจไม่ดีจะไม่สามารถลงทุนได้ หรือการลงทุนตราสารหนี้ในต่างประเทศก็เช่นกัน ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา จะมีการเติบโตเร็วกว่าประเทศทั่วไป อีกทั้งยังมีการจัดการทางการเงินได้ดีกว่า เป็นต้น

และหัวข้อสุดท้าย “เงินฝากสกุลต่างประเทศ” โดยในหัวข้อนี้มี คุณ ณสุ จันทร์สม ผู้อำนวยการฝ่ายปรึกษาการลงทุนทั่วโลก ธนาคาร อีเอฟจี ร่วมพูดคุยกับ นาเดีย นิมิตรวานิช โดย คุณ ณสุ แนะนำว่า สำหรับการลงทุนในเงินฝากสกุลต่างชาตินั้นมองว่ามีอยู่หลายช่องทางสำหรับการออมประเภทนี้ อาทิ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น และหากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยแล้ว ตอนนี้ในประเทศไทยการฝากเงินสกุลไทยนั้นมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 2-4% ในขณะที่การฝากเงินสกุลออสเตรเลียนั้นมีอัตราดอกบี้ยอยู่ที่ 7% เพราะฉะนั้นโอกาสการลงทุนมีอยู่มาก แต่ก็ต้องคำนึงด้วยว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีการขึ้น-ลงอยู่เสมออีกทั้งต้องเข้าใจสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ศึกษาด้านความเสี่ยง ซึ่งหากถามว่าประเทศใดบ้างที่น่าสนใจไปลงทุน ก็ต้องเรียนว่า ประเทศออสเตรเลีย ประเทสนิวซีแลนด์ นับเป็นสองประเทศที่มีความน่าสนใจ และในฐานะที่ นาเดีย มีอาชีพหลักในธุรกิจบันเทิง ที่มีรายได้เข้าจำนวนมากแต่ไม่แน่นอน คุณ ณสุ แนะนำว่า ให้เลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองมีความรู้ ความเข้าใจ ไม่ควรเลือกซื้อหน่วยลงทุนต่างๆตามเพื่อนหรือตามกระแสนิยม ทางเลือกที่ดีคือ เลือกลงทุนใน LTF หรือ RMF ซึ่งช่วยได้มากเรื่องภาษี แต่ที่สำคัญอันดับแรกคือเลือกการลงทุนให้เหมาะสมด้วยการเริ่มต้นฝากเงินในสกุลต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า