ธนาคารเอไอจีและเอไอจีการ์ด ประเทศไทย ยืนยันความมั่นใจ ให้บริการอย่างมั่นคง

เมื่อวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2551 บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ (AIG) ได้ประกาศที่นิวยอร์คว่าบริษัทจะปรับทิศทางธุรกิจโดยยังคงดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยในสหรัฐและธุรกิจประกันวินาศภัยในต่างประเทศรวมถึงยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในธุรกิจประกันชีวิตในต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพิจารณาการขายกิจการอื่น ๆ และสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง รวมถึงการพิจารณาทางเลือกอื่น โดยในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย AIG Consumer Finance Group (AIG CFG) และกลุ่มบริษัทในเครือ ซึ่งรวมถึง ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอไอจี การ์ด (ประเทศไทย) จำกัด ก็อาจจะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นด้วยเช่นกัน
นายชาลี มาดาน กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ ผู้นำกลุ่มธุรกิจสินเชื่อของ AIG CFGในประเทศไทย กล่าวว่า “ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจของเราต่อไป การปรับโครงสร้างในด้านผู้ถือหุ้นของ AIG CFG ที่อาจเกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานในธุรกิจปัจจุบันของธนาคาร ธนาคารยังดำรงความมั่นคงและความมีสภาพคล่องที่สูง ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจได้ว่าเงินฝากของลูกค้าจะมีความปลอดภัย”

นายชาลีกล่าวต่อไปอีกว่า “นอกจากนี้ เราได้เพิ่มและพัฒนาทรัพยากรเทคโนโลยีของธนาคาร เพื่อยกระดับการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ธุรกิจของเราในประเทศไทย เป็นธุรกิจที่ทำกำไร และเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงของ AIG CFG ด้วยข้อเสนอผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง พนักงานที่มีความเป็นมืออาชีพ และเครือข่ายธุรกิจของธนาคาร จะเอื้ออำนวยให้ผู้ที่เข้ามาลงทุนสามารถดำเนินธุรกิจต่อยอดด้านธนาคารเพื่อรายย่อยในประเทศไทยได้ทันที ทำให้มีศักยภาพสูงในการขยายกิจการต่อไป หรือ ขยายธุรกิจที่ธนาคารได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น”

ธนาคารเอไอจีเพื่อรายย่อย ได้เพิ่มทุนจำนวน 1,600 ล้านบาทเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารมีฐานเงินทุน (equity) รวมทั้งสิ้น 3,400 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารยังได้รับเงินทุนและวงเงินสำรองประมาณ 14,000 ล้านบาทจากบริษัทแม่ เพื่อเป็นเงินสำรองโดยฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งควรจะทำให้ลูกค้าของธนาคารวางใจอย่างต่อเนื่องในฐานะทางการเงินและสภาพคล่องของธนาคารฯ” นายชาลีกล่าวเสริม

ความมั่นคงทางการเงินของธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย สามารถดูได้จาก อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ที่มีสูงถึงร้อยละ 24 (ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2551) ซึ่งสูงกว่าเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเฉลี่ยของอุตสาหกรรมดังกล่าวของไทยที่ร้อยละ 15 และยังสูงกว่าอัตราเสี่ยงขั้นต่ำตามที่กฏหมายหนดไว้ที่ร้อยละ 8.5 เกือบสามเท่า โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ในระดับเดียวกันกับอัตราส่วนเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจธนาคารคือที่ประมาณร้อยละ 96 ทั้งยังสามารถรักษาระดับของหนี้สูญได้ปีละไม่เกินร้อยละ 2 ของสินเชื่อรวม ต่ำกว่าตัวเลขเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 – 6.0 “ตัวเลขบ่งชี้ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงพื้นฐานอันแข็งแกร่งที่ธนาคารได้สร้างไว้ และธนาคารจะรักษาชื่อเสียงในด้านการดำเนินงานอย่างระมัดระวังและรอบคอบโดยเน้นเฉพาะงานที่ธนาคารมีความสามารถและ ความชำนาญ ซึ่งก็คือธุรกิจการธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อย” นายชาลีตอกย้ำ

ข้อมูลเกี่ยวกับ ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย
ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย เริ่มประกอบกิจการเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยในประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2550 โดยเริ่มก่อตั้งและประกอบกิจการของธนาคารจาก บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บางกอก อินเวสท์เม้นท์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 และได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอไอจี ไฟแนนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในปี พ.ศ. 2541 ปัจจุบัน ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานครและมีสาขาอีก 10 สาขาทั่วประเทศ มีธุรกิจการให้บริการทั้งทางเงินและการธนาคาร