ในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของเดือนมกราคม 2552 โดยมีประเด็นสำคัญ ต่อไปนี้
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมกราคม 2552 ลดลงร้อยละ 0.4 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) เป็นอัตราที่ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 9 ปี (111 เดือน) โดยก่อนหน้านี้เคยเกิดภาวะอัตราเงินเฟ้อลดลงครั้งหลังสุดคือเมื่อเดือนตุลาคม 2542 ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันและอาหารสดที่ปรับลดลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2551 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ก่อนที่จะเข้าสู่แดนลบในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งแม้เป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่ราคาอาหารยังคงปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ประกอบกับราคาน้ำมันค่อนข้างทรงตัว ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2551
ในด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนนี้อยู่ที่ร้อยละ 1.6 (Y-o-Y) ลดลงจากร้อยละ 1.8 ในเดือนก่อนหน้า ตามราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูป และการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถสาธารณะ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ซึ่งเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 ปี ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2552 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.0-0.5 ลดลงจากคาดการณ์เมื่อเดือนมกราคมอยู่ที่ร้อยละ 0.0-1.2
สำหรับในเดือนถัดๆ ไป แนวโน้มเงินเฟ้ออาจจะมีปัจจัยผลักดันจากการทยอยปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ หลังจากรัฐบาลเห็นชอบให้ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 หลังสิ้นสุดระยะการใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทย ในวันที่ 31 มกราคม ซึ่งจะทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (Month-on-Month) จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อซึ่งเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนยังมีแนวโน้มเป็นตัวเลขติดลบอย่างต่อเนื่อง จากผลของฐานที่สูงในปีก่อน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงมีแนวโน้มลดลง (Y-o-Y) ต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มถดถอยลงลึกและยาวนานกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อาจจะค่อยๆ ขยับขึ้นเล็กน้อย เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในภูมิภาคหลักของโลกเริ่มผ่านพ้นจุดต่ำสุด แต่การฟื้นตัวอย่างแท้จริงอาจจะเกิดขึ้นในปี 2553 ซึ่งผลดังกล่าวเมื่อรวมกับผลของฐานเปรียบเทียบอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ต่ำในช่วงปลายปี จึงน่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แต่คงต้องรอจนถึงช่วงไตรมาสที่ 3/2552 กว่าที่จะเห็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมามีตัวเลขเป็นบวกได้อีกครั้ง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 1.0 ถึง 1.8
สำหรับแนวโน้มตลอดทั้งปี 2552 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วงระหว่างลดลงร้อยละ 1.0 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 5.5 ในปี 2551 สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ค่าเฉลี่ยทั้งปีน่าจะยังคงเป็นตัวเลขบวก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2552 จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.0-1.0 ลดลงจากร้อยละ 2.4 ในปี 2551
แม้ว่าเงินเฟ้อที่ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 9 ปีนี้ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับฐานของปีก่อนหน้า ที่ราคาสินค้าส่วนใหญ่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งผลของฐานดังกล่าวคงจะหมดไปในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี พร้อมๆ กับราคาน้ำมันอาจจะค่อยๆ เริ่มขยับขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น และน่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงไตรมาสที่ 4/2552 มีแนวโน้มที่จะกระโดดกลับขึ้นมาเป็นบวกในระดับที่สูง อย่างไรก็ตาม การที่เงินเฟ้อมีอัตราติดลบติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายเดือนย่อมไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่จะทยอยประกาศออกมาในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า ไม่ว่าตัวเลขภาคการผลิต การส่งออก หรืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มีแนวโน้มที่จะหดตัวลง พร้อมกับกระแสการเลิกจ้างที่อาจจะรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจซื้อของภาคครัวเรือนให้ลดลงตามภาวะรายได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ทางการไม่ควรปล่อยให้สภาวะเงินเฟ้อติดลบนี้ส่งผลลบในทางจิตวิทยา จนกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยควรเร่งดำเนินการทั้งมาตรการการเงินและการคลัง เพื่อลดความกังวลของประชาชนและภาคธุรกิจในด้านการใช้จ่ายและการลงทุน โดยแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำน่าจะเอื้ออำนวยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และลดภาระต้นทุนการเงินให้แก่ภาคครัวเรือนซึ่งมีแนวโน้มเผชิญปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น และภาคธุรกิจที่อาจมีปัญหาสภาพคล่องจากยอดขายและคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่ลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังค่อนข้างที่จะมีเสถียรภาพ โดยมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่ตัวเลขเฉลี่ยทั้งปีจะยังคงอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (พื้นฐาน) ไว้ที่ร้อยละ 0.5-3.0 ซึ่งอาจยังสนับสนุนนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของทางการต่อไปได้ในช่วงปี 2552 นี้ แม้ว่าอาจจะเห็นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นนำไปก่อนหน้าในช่วงท้ายของปีก็ตาม