กสิกรไทย ร่วมมือทางธุรกิจกับกลุ่มเมืองไทยฯ และโฟร์ทิส โดยธนาคารจะเข้าถือหุ้นในเมืองไทย โฟร์ทิส โฮลดิ้ง เป็น 51% เป็นเงิน 6,500 –7,500 ล้านบาท มั่นใจช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งด้วยช่องทางการขายที่หลากหลาย พร้อมก้าวเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิต
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าที่ผ่านมาธนาคาร กสิกรไทยมีนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางของธนาคาร ซึ่งให้ความสำคัญกับการให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรและเต็มรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และมุ่งเน้นการเจริญเติบโตในธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียม ซึ่งการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เป็นธุรกิจที่มีความเกื้อหนุนกับธนาคาร และมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต จึงได้มีการศึกษาที่จะขยายขอบเขตเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด นับเป็นบริษัทที่มีความเหมาะสมที่จะร่วมมือทางธุรกิจมากที่สุด
ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต มีการขายประกันและทำงานร่วมกับธนาคารอย่างประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ธนาคารมีส่วนแบ่งตลาดธุรกิจการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ดังนั้นการลงทุนในกลุ่มบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ทำให้เกิดความต่อเนื่องของการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งเมืองไทยประกันชีวิตและเมืองไทยประกันภัย เป็นบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 และอันดับ 5 ของประเทศ จึงมีข้อได้เปรียบเรื่องประสิทธิภาพจากขนาด (Economies of Scale) สามารถรองรับฐานลูกค้าของธนาคารได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งมีบริษัท โฟร์ทิส อินชัวรันส์ อินเตอร์ เนชั่นแนล เอ็น.วี. พันธมิตรต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกัน และมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนในลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
ธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่า การเข้าซื้อหุ้นกลุ่มบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จะส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้จากธุรกิจ และก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกันชั้นนำในอนาคต
นายประสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารกสิกรไทย ได้มีมติอนุมัติขยายการ ลงทุนในกลุ่มบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต และเมืองไทยประกันภัย ผ่านการถือหุ้นของบริษัท เมืองไทย โฟร์ทิส โฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 51% คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 6,500-7,500 ล้านบาท โดยมีกำหนดการขออนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของธนาคารในวันที่ 3 เมษายนนี้ และคาดว่าการซื้อขายหุ้นจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ภายหลังจากที่ธนาคารได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะบริษัท (Due Diligence) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับเงินทุนที่ใช้ซื้อหุ้นครั้งนี้ ธนาคารมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ และทำให้ธนาคารรับรู้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากธุรกิจประกัน และมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท ในปี 2552
อนึ่งการลงทุนในบริษัท เมืองไทย โฟร์ทิส โฮลดิ้ง จำกัด ในครั้งนี้นั้น ธนาคารได้รับการผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ บมจ. เมืองไทยประกันภัย จากคณะอนุกรรมการวินิจฉัยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการเรียบร้อยแล้ว
ด้านนายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ได้กล่าวถึงการเติบโตเฉลี่ยของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาว่า เติบโตอยู่ที่ร้อยละ 11 กอปรกับโอกาสในการตลาดยังคงมีอีกมาก อัตราเบี้ยประกันชีวิตเทียบกับค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Insurance Penetration Rate) จะอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณร้อยละ 2 ซึ่งค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียจะอยู่ที่เกินกว่าร้อยละ 5-10 อย่างไรก็ตามด้วยนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ การบริการ การสร้างความรู้ความเข้าใจและช่องทางการเข้าถึงประชาชนที่มากขึ้น จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการทำประกันชีวิตมากขึ้น
จากการที่ธุรกิจประกันภัยเริ่มปรับเข้าสู่การเชื่อมโยงของการให้บริการทางการเงิน (Financial Convergence) ประกอบกับบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยในการทำธุรกิจ Bancassurance มาเป็นระยะเวลาหนึ่งและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายหลักที่บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจมาอย่างถูกทางในการเป็นผู้นำและบุกเบิกการตลาดที่หลากหลายช่องทาง (Multi Distribution Channels) เพื่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป โดยขยายตลาดผ่านธนาคารกสิกรไทย และช่องทางการตลาดแบบตรงและตัวแทนที่มีคุณภาพกว่า 20,000 คนทั่วประเทศ
อีกทั้งบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความคุ้มครอง การออม และการประกันชีวิตควบการลงทุนให้กับลูกค้าธนาคาร นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีความพร้อมในด้านการให้บริการทั้งในส่วนของโรงพยาบาลในเครือข่ายกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ และสาขาที่พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย และที่โดดเด่นกว่าบริษัทประกันชีวิตอื่น คือ การให้บริการจาก เมืองไทย Smile Club ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้นำและริเริ่มในการให้บริการพิเศษที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกระดับ กอปรกับเมืองไทยประกันชีวิตบริษัทของคนหัวคิดทันสมัยมีภาพลักษณ์องค์กรที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทฯ เป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 3 ของธุรกิจประกันชีวิต จาก 24 บริษัทประกันชีวิตที่ประกอบการในประเทศไทย โดย ณ สิ้นปี 2551 มีเบี้ยประกันรับรวม 17,243 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 26 และยังเป็นบริษัทฯ ที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเงินที่เห็นได้ชัดเจนโดยบริษัทฯ มีเงินสำรองประกันชีวิต 48,603 ล้านบาท มีเงินกองทุนสูงถึง 6,510 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นร้อยละ 670 ของเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินจาก Fitch Ratings ที่ AA(tha)/Stable และ BBB+/Stable รวมทั้งจากสถาบัน Standard & Poor’s ในระดับ BBB+/Stable ซึ่งจะเป็นเครื่องยืนยันและสร้างความมั่นใจถึงความมั่นคงให้แก่ลูกค้าได้
นายสาระกล่าวสรุปว่า “สำหรับการที่จะลงนามสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างเมืองไทยประกันชีวิต บริษัท โฟร์ทิส อินชัวรันส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็น. วี. และธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทฯ จะสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่เสริมการให้บริการทางการเงินของธนาคารได้อย่างกว้างขวางและครบถ้วนมากขึ้น พร้อมไปกับการที่ธนาคารก็จะสามารถใช้ศักยภาพของทรัพยากรที่มีคุณภาพของตัวแทนกว่า 20,000 คนที่มีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าซึ่งจะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อทั้ง 2 องค์กร”
มร.เดมิส ซิงก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอเชีย บริษัท โฟร์ทิส อินชัวรันส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็น. วี. เปิดเผยว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่โฟร์ทิส อินชัวรันส์ ฯ จะได้ขยายพันธมิตรทางธุรกิจอันแข็งแกร่งในประเทศไทย ผ่านการผนึกกำลังสามฝ่ายระหว่างกลุ่มบริษัท โฟร์ทิส ธนาคารกสิกรไทย และเมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของกลุ่มบริษัท โฟร์ทิส ที่มีต่ออนาคตทางธุรกิจของเมืองไทยประกันชีวิต รวมถึงโอกาสในการเติบโตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทในระยะยาว
กลุ่มบริษัท โฟร์ทิสได้เข้าร่วมทุนกับเมืองไทยประกันชีวิตเมื่อ ปีพ.ศ. 2547 โดยเน้นการลงทุนระยะยาวในประเทศไทย การเข้าร่วมทุนของธนาคารกสิกรไทยในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจนั้นมิได้ส่งผลกระทบใดต่อการมีส่วนร่วมของกลุ่มบริษัท โฟร์ทิส แต่บริษัทจะใช้โอกาสนี้เพื่อพัฒนาธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เมืองไทยประกันชีวิตและธนาคารกสิกรไทยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ่านเครือข่ายของธนาคาร การตัดสินใจเข้าร่วมทุนของธนาคารถือเป็นการยืนยันถึงความสำเร็จดังกล่าวและย้ำถึงความเชื่อมั่นต่อบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต ในฐานะที่เป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศไทย การขยายความร่วมมือทางธุรกิจจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้มีส่วนได้เสียของทั้งบริษัท เมืองไทยประกันชีวิตและธนาคารกสิกรไทย อันประกอบด้วย ผู้ถือหุ้น ลูกค้าของธนาคาร ผู้ถือกรมธรรม์ พนักงาน ตัวแทนประกันชีวิต และประชาชนโดยทั่วไป
กลุ่มบริษัท โฟร์ทิส คาดว่า ความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้จะทำให้บริษัท เมืองไทยประกันชีวิตมีฐานะเงินทุนที่แข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งขึ้นเพื่อความสำเร็จในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยต่อไป กลุ่มบริษัท โฟร์ทิส ยังคงมีเจตนารมณ์ในการให้การสนับสนุนบริษัท เมืองไทยประกันชีวิตในด้านต่างๆ อาทิ การพัฒนาธุรกิจ การบริหารทางด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงและการบริหารสินทรัพย์
นอกจากการร่วมมือทางธุรกิจในประเทศไทยแล้ว โฟร์ทิสยังประสบความสำเร็จในการร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรประเทศอื่นๆ อีก ได้แก่ โปรตุเกส มาเลเซีย จีน และอินเดีย ซึ่งในประเทศดังกล่าวโฟร์ทิสได้ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตและเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจประกันของประเทศนั้นๆอีกด้วย ในตลาดของโฟร์ทิสเองในแถบยุโรป โฟร์ทิสเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันวินาศภัย และแผนประกันเพื่อการเกษียณอายุ