เจ มาร์ท สบจังหวะตลาดหุ้นดี IPO หุ้นไว้เป็นช่วงราคาเบื้องต้นหุ้นละ1.6-1.8 บาท เตรียมเปิดให้จองหุ้น 17-18 มิถุนายน และเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันที่ 25 มิถุนายน ศกนี้ เพื่อนำเงินไปใช้ขยายกิจการ 3 ธุรกิจหลัก
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ผู้นำในธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และติดตามเร่งรัดหนี้ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท โดยแบ่งสัดส่วนการเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป จำนวน 60 ล้านหุ้น และเสนอขายให้ผู้มีอุปการะคุณและกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของบริษัท รวมจำนวน 15 ล้านหุ้น
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ในการขยายกิจการในธุรกิจต่างๆ ของบริษัท รวมทั้งนำไปชำระหนี้ระยะสั้น โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ Lead Underwriter
ในส่วนการดำเนินธุรกิจ รายได้ของบริษัทฯ มาจาก 3 ธุรกิจ ประกอบด้วยธุรกิจหลักคือ ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์เสริมและสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 95 ของรายได้รวม โดยเป็นการขายปลีกในสัดส่วน ร้อยละ 67 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขายผ่านหน้าร้าน Jaymart ที่ปัจจุบันมีสาขากระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศรวม 199 สาขา นอกจากขายปลีก บริษัทยังเป็นผู้ค้าส่งมือถือที่มีตัวแทนจำหน่ายในเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศ ด้วยสัดส่วนการขายร้อยละ 33 ของยอดขายรวมมือถือ
ธุรกิจที่สอง คือ การบริหารพื้นที่ค้าปลีก ศูนย์รวมจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในรูปแบบ IT Junction ที่กำลังขยายสาขามากถึง 26 สาขาทั่วประเทศ โดยมี 24 สาขาอยู่ใน Big C โมเดลของ IT Junction ทำให้เอื้อประโยชน์ต่อการจำหน่ายมือถืออย่างมาก เนื่องจากเป็นศูนย์กระจายสินค้าให้กับผู้เช่าในพื้นที่
นั้นๆ อีกทั้งยังสร้างรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ โดยมีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 2 ของยอดรายได้รวม บริษัทตั้งเป้าจะขยายสาขาของ IT Junction ให้ถึง 35 สาขาในปี 2553 นอกจากรูปแบบ IT Junction แล้ว บริษัทได้บริหารศูนย์ในลักษณะ Stand Alone ชื่อโครงการ เจ-เวนิว โดยมุ่งเน้นพื้นที่บริเวณใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรม หรือชุมชนที่มีกำลังซื้อเป็นหลัก สาขาแรกของ เจ-เวนิว ตั้งอยู่ที่บริเวณหน้าทางเข้านิคมอุตสาหกรรมนวนคร และบริษัทมีแผนจะขยายสาขาให้ได้ 3 สาขา ในอีก 2 ปี
ธุรกิจที่สาม คือ ธุรกิจบริการติดตามเร่งรัดหนี้และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ที่ดำเนินการโดยบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด มีรายได้จากธุรกิจที่สามนี้คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.0 ของรายได้รวม ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2552 นี้ รับจ้างติดตามและจัดเก็บหนี้รวมมูลหนี้ 10,264 ล้านบาท และในส่วนการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ปัจจุบันบริษัทซื้อหนี้มาบริหาร ยอดมูลหนี้รวมประมาณ 2,800 ล้านบาท ด้วยเงินลงทุนซื้อหนี้เท่ากับ 127 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายและงบลงทุนซื้อหนี้รวมไว้ที่ 240 ล้านบาท ภายใน 2 ปี
สำหรับแผนธุรกิจและการเติบโตในอนาคต 2 ปีข้างหน้านี้ ในธุรกิจจัดจำหน่ายฯ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งในส่วนของแบรนด์หลักหรือ Inter Brand จากร้อยละ 11 เป็นร้อยละ 18 และเข้าสู่ธุรกิจ House Brand อย่างเต็มตัว ภายใต้ Brand “J-Fone” ซึ่งจะทำให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกตลาด และจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงแผนการขยายพื้นที่ IT Junction ให้เพิ่มขึ้นเป็น 35 สาขาจะช่วยเสริมฐานธุรกิจจัดจำหน่ายฯ ในการกระจายสินค้า และการทำการตลาดให้บริษัทได้เป็นอย่างดี ในด้านของธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพบริษัทได้ตั้งเป้าหมายและงบลงทุนซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มเติมอีก 115 ล้านบาท ภายใน 2 ปี ซึ่งจะทำให้สัดส่วนกำไรจากธุรกิจที่สามนี้ เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึงร้อยละ 30-40
นางพรพิมล ดำรงศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยความครบถ้วนและแข็งแรงของโมเดลการทำธุรกิจของบริษัท ที่มีทั้งจุดเด่นและจุดแข็ง รวมทั้งโอกาสและการวางแผนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต เมื่อพิจารณาประกอบกับสภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการนำ JMART เข้าระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET โดยได้กำหนดวันจองซื้อหุ้น JMART ไว้ระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน และคาดว่าหุ้น JMARTจะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในวันที่ 25 มิถุนายน นี้
จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายในครั้งนี้ทั้งหมด 75 ล้านหุ้น เป็นส่วนของประชาชนทั่วไป 60 ล้านหุ้น และส่วนของผู้อุปการคุณและพนักงานรวม 15 ล้านหุ้น เสนอขายราคาเดียวกันในเบื้องต้น ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ไว้เป็นช่วงราคา 1.6-1.8 บาท ถ้าคิดจากกำไรสุทธิปี2551 ซึ่งมี EPS (fully diluted) เท่ากับ 0.32 บาท จะคำนวน P/E ได้ที่ 4.9-5.6 เท่าโดยประมาณ และด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยร้อยละ 50 หุ้น JMART จะเป็นอีกบริษัทหนึ่งในกลุ่มหุ้นIPO ที่มีความน่าสนใจในช่วงนี้
บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการขาย IPO ในครั้งนี้ ไปขยายธุรกิจและส่วนหนึ่งชำระหนี้ ทำให้ภายหลังการขายหุ้น IPOในครั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่อยู่ในระดับ 1.17 เท่า จะลดลงเหลือ 0.7 เท่าโดยประมาณ ส่งผลให้บริษัทฯ มีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งและฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น พร้อมต่อการขยายธุรกิจในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท มีทุนเรียกชำระแล้วจำนวน 225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 225 ล้านหุ้น ภายหลังการกระจายหุ้นบริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 300 ล้านบาท
ผลประกอบการปี 2551 บริษัทมีรายได้รวมประมาณ 5,500 ล้านบาท กำไรสุทธิ 98 ล้านบาท และสำหรับงวดล่าสุด ไตรมาส 1/2552 บริษัทมีรายได้ 1,200 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 20 ล้านบาท