แสนสิริโชว์ 2 ไตรมาส สร้างยอดขายโปรเจกรวม 9.2 พันล้านบาท

กลุ่มแสนสิริ โชว์ตัวเลขยอดขายครึ่งแรกปี 52 ขยายการเติบโตที่ชัดเจนและต่อเนื่อง จากการสร้างยอดขายที่อยู่อาศัยครบวงจรเป็นมูลค่า 9.2 พันล้านบาท โดยผลประกอบการไตรมาส 2 มียอดขายรวมประมาณ 3,100 ล้านบาท ปรับแผนรุกหนักเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ครบวงจร ทั้ง “บ้านเดี่ยว-คอนโดฯ-ทาวเฮาส์” จากแผนเดิม 16 โครงการเป็น 19 โครงการ เตรียมเปิด 8 โครงการใหม่ครึ่งปีหลัง มูลค่ารวม 7,600 ล้านบาท ในขณะที่มียอดขายล่วงหน้า (Pre-sale Back Log) สูงสุดในระบบแล้ว 18,000 ล้านบาท โดยจ่อคิวเปิดคอนโดฯ ใหม่ระดับพรีเมี่ยมย่านซีบีดี พร้อมเดินหน้าสานต่อแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับกลางและทาวน์เฮาส์ ต่อเนื่อง

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมในย่านธุรกิจกลางใจเมือง โครงการบ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์ โดยสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรกมูลค่ารวมกว่า 6,100 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นตัวเลขสูงที่สุดของแสนสิริ ที่เคยสร้างยอดขายได้ภายในไตรมาสเดียว ส่วนหนึ่งเกิดจากความสำเร็จในการจัดงานนำเสนอที่อยู่อาศัยของกลุ่มบริษัทแสนสิริและพันธมิตรธุรกิจที่ชื่อว่า “Living in Style 2009” เพียง 3 วัน มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 รายและสามารถปิดการขายได้หลายโครงการภายในงาน ทั้งนี้เมื่อรวมกับยอดขายในช่วงไตรมาส 2 ที่สามารถสร้างยอดขายไปกว่า 3,100 ล้านบาท ทำให้สามารถสร้างยอดขายรวมในช่วงครึ่งปีแรกถึงประมาณ 9,200 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 55% ของยอดขายทั้งปีจากที่วางเป้าหมายไว้ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท จึงเชื่อมั่นว่ากลุ่มบริษัทแสนสิริ จะสามารถสร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยปี 2552 ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

นอกจากนี้กลุ่มบริษัทแสนสิริ ยังสามารถสร้างยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Pre-sale backlog) จากโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เป็นมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 1-3 ปี โดยจะเป็นมูลค่าที่สามารถรับรู้ได้ภายในปีนี้ถึง 14,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 87% ของผลประกอบการที่ตั้งไว้ในปีนี้ ทั้งที่ระยะเวลาผ่านไปเพียง 6 เดือนเท่านั้น ซึ่งถือเป็นฐานรายได้สำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่มั่นคง ในขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมีการขยายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อีกประมาณ 8 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์ โดยมีมูลค่าโครงการขายรวม 7,600 ล้านบาท

“ที่ผ่านมาการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของกลุ่มแสนสิริประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้กลุ่มบริษัทแสนสิริประสบความสำเร็จด้านการขายโครงการที่อยู่อาศัย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรุกจัดกิจกรรมทางการตลาดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา อาทิ การจัดงานคอนเสิร์ต “Family, Rhythm & Harmony” เพื่อขอบคุณกลุ่มลูกค้าแสนสิริ การจับมือพันธมิตรธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน) หรือ SCB จัดงานยิ่งใหญ่แห่งปี Living in Style 2009 และความสำเร็จในการสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้า ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม Quattro, blocs77 และทาวน์เฮาส์ 7 โครงการใหม่ ผ่านทางภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ทั้ง 3 ชุด ซึ่งเป็นการตอกย้ำการรับรู้ของผู้บริโภคในแบรนด์ผลิตภัณฑ์ด้านการอยู่อาศัยของแสนสิริที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสที่ 2 แสนสิริยังเน้นใช้กลยุทธ์การทำการตลาดแบบ below the line โดยให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยคัดเลือกกลุ่มธุรกิจที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าแต่ละโครงการ เพื่อร่วมมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า อาทิ การจับมือกับ Jim Thompson ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าด้านการตกแต่งชั้นนำของไทย ร่วมตกแต่งห้องตัวอย่างของคอนโดมิเนียม โครงการ Quattro เพื่อเป็นแรงบันดาลใจด้านการตกแต่งพร้อมจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการตกแต่งห้องให้แก่ลูกค้าของแสนสิริ รวมทั้งการร่วมมือกับแชมเปญแบรนด์ดัง MOE’T & CHANDON จัดกิจกรรมให้แก่กลุ่มลูกค้าแสนสิริในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวช่วยสื่อสารข้อมูลและกระตุ้นการรับรู้ถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายจากการทำการตลาดในรูปแบบดังกล่าวได้เป็นอย่างมาก และจะยังคงเป็นกลยุทธ์การตลาดที่แสนสิริจะนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง” นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของกลุ่มบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ปรับเป้าจากเดิมที่วางไว้ 16 โครงการ เป็น 19 โครงการ โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 จะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ อีกประมาณ 8 โครงการ แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ในทำเลย่านธุรกิจกลางใจเมือง (CBD) 2 โครงการ มูลค่าการขายรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท และยังมีแผนการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวสำหรับลูกค้าระดับกลาง 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,900 ล้านบาท รวมทั้งโครงการทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,700 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการที่จะพัฒนาใหม่ทั้งสิ้น ประมาณ 7,600 ล้านบาท

“ขณะนี้สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวและมีความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความมั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายและมีเสถียรภาพมากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ทิศทางของภาคธุรกิจในประเทศ อาทิ ภาคการส่งออก ภาคอุตสาหกรรม ก็เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ในขณะที่แสนสิริให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจให้มีความครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า รวมทั้งยังคงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย ด้วยดีไซน์ที่สวยงาม มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแตกต่าง รวมถึงการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อรองรับแก่ลูกค้าที่พร้อมเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกในสังคมของแสนสิริที่จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง “นายเศรษฐา กล่าว